งบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3,000 ล้านยูโรนั้น ส่วนหนึ่งราว 500 ล้านยูโร จะถูกนำไปใช้สำหรับ โครงการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า มิชชั่น อี (Mission E) รวมทั้งรุ่นอื่นๆ ในอนุกรมเดียวกันประมาณ 1,000 ล้าน ยูโรจะถูกใช้เป็นงบประมาณในการเสริมศักยภาพด้านระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและระบบไฮบริดในรถยนต์รุ่นปัจจุบัน หลายร้อยล้านยูโรสำหรับค่าใช้จ่ายในการขยายโรงงานผลิต และอีก 700 ล้านยูโรเพื่อการค้นคว้านวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในส่วนของระบบชาร์จพลังงานรวมไปถึงระบบยานยนต์อัจฉริยะ
ศูนย์บริการสีและตัวถังแห่งใหม่ในสำนักงานใหญ่ที่ Zuffenhausen ได้รับการจัดสรรพื้นที่พร้อมสายการผลิตส่วนหนึ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการเคลื่อนย้ายตัวถังรถยนต์ที่ผ่านการพ่นสีและชิ้นส่วนของระบบขับเคลื่อนไปยังส่วนงานประกอบขั้นตอนสุดท้าย ทั้งนี้พื้นที่ดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการก่อสร้าง ทางด้านของโรงงานผลิตเครื่องยนต์ปัจจุบัน กำลังจะได้รับการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าซึ่งแน่นอนว่าส่วนงานผลิต ตัวถังจะต้องได้รับการพิจารณาปรับปรุงเช่นเดียวกัน แผนการใช้จ่ายงบประมาณ ที่วางไว้ยังเกี่ยวเนื่องไปถึงบทบาทหน้าที่ ของศูนย์วิจัยและพัฒนา Weissach Development Centre อีกด้วย ส่งผลให้โครงการ มิชชั่น อี (Mission E) สามารถสร้างตำแหน่งงานใหม่เพิ่มขึ้นได้มากถึง 1,200 ตำแหน่ง
ปอร์เช่ มิชชั่น อี (Porsche Mission E) คือรถสปอร์ตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ให้พละกำลังสูงสุดมากกว่า 600 แรงม้า ส่งผลให้มีอัตราเร่งอันยอดเยี่ยม จากจุดหยุดนิ่งไปที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลาต่ำกว่า 3.5 วินาที นอกจากนี้ สามารถเร่งออกตัวและเบรกอย่างต่อเนื่อง โดยปราศจากการสูญเสียประสิทธิภาพใดๆ พร้อมศักยภาพในการเดินทางสูงสุดได้เป็นระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ด้วยระยะเวลาที่ใช้ในการชาร์จพลังงานเพียงเล็กน้อย: ความล้ำเลิศทั้งหมดข้างต้นเกิดขึ้น ได้จากโครงสร้างระบบไฟฟ้าแรงดันสูง 800 โวลต์ ซึ่งช่วยให้รถวิ่งได้เป็นระยะทางถึง 400 กิโลเมตร ด้วยการชาร์จพลังงาน เพียง 15 นาทีเท่านั้น
โครงสร้างพื้นฐานรองรับทางเลือกในการชาร์จพลังงานที่หลากหลาย
ปอร์เช่ (Porsche) และอาวดี้ (Audi) ในฐานะตัวแทนของเครือโฟล์คสวาเก้น (Volkswagen Group) ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ BMW Group Daimler AG และ Ford Motor Company ปฏิบัติการภายใต้ สัญญาความร่วมมือกับบริษัท Ionity โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อก่อตั้ง และเปิดดำเนินงานสถานีชาร์จพลังงาน ประสิทธิภาพสูง มากกว่า 400 แห่ง ตลอดเส้นทางจราจรหลักทั่วทั้งทวีปยุโรปภายในปี 2020 การก่อสร้างได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2017 ที่ผ่านมา โดยได้รับการกำกับดูแลจากทีมงานของ Ionity นอกจากนี้ เครือข่ายศูนย์บริการของปอร์เช่ทั่วโลก จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ของโครงสร้างพื้นฐานในเชิงของสถานีชาร์จพลังงาน ประสิทธิภาพสูงเช่นกัน
ปลั๊กอิน-ไฮบริด หนึ่งในความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของปอร์เช่
การเผยโฉมของ พานาเมร่าใหม่ (The new Panamera) ชี้ให้เห็นถึงอนาคตอันสดใสของยนตรกรรม พลังงานทางเลือกเจเนอเรชั่นที่ 3 จากปอร์เช่ รถยนต์ขุมพลัง ปลั๊กอิน ไฮบริด ทั้ง 2 รุ่นของพานาเมร่า (Panamera) นั้น สร้างชื่อเสียงอันเป็นที่ยอมรับทั้งในด้านของ ศักยภาพในการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เป็นระยะทา งสูงสุดถึง 50 กิโลเมตร และสำหรับ พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) ในฐานะเรือธงของสายพันธุ์สปอร์ตทัวริ่ง 4 ประตู นี่คือส่วนผสมสุดสมบูรณ์แบบระหว่างสมรรถนะการขับขี่เหนือระดับและ ประสิทธิภาพการทำงานอันยอดเยี่ยม เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาดความจุ 4.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังสูงสุดถึง 680 แรงม้า สามารถก้าวขึ้นครองบัลลังก์รถยนต์หรูที่เต็มไปด้วยความสปอร์ตมากที่สุดคัน หนึ่งในโลก ไม่มีคำตอบอื่นใดสำหรับคำถามนี้ นอกจากความเหนือชั้นของระบบ ขับเคลื่อนไฮบริดจากปอร์เช่
นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของปอร์เช่ต่างให้ความสนใจและมั่นใจที่จะเลือกใช้รถยนต์รุ่นเครื่องยนต์ ไฮบริดเพิ่มขึ้น: นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรก ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของยานพาหนะทั้งหมดที่จำหน่ายในภูมิภาคยุโรป เป็นรถยนต์ที่ได้รับการติดตั้งสุดยอดขุมพลังขับเคลื่อนดังกล่าว สถิติตัวเลขข้างต้นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผล มาจากเสียงตอบรับที่ดีของบรรดาผู้ใช้รถในหลายประเทศและสูงขึ้นถึง 90 เปอร์เซ็นต์ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย
พบกับภาพประกอบเนื้อหาข่าวได้ที่ Porsche Newsroom (www.newsroom.porsche.com)
และฐานข้อมูลสำหรับสื่อมวลชนที่ Porsche press database (www.presse.porsche.de)
เกี่ยวกับ AAS Auto Service
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่าง เป็นทางการ ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรที่ผ่านการ ทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 12 คน ซึ่งถือว่ามี จำนวนมากที่สุดของศูนย์รถยนต์ปอร์เช่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทั้งหมด 12 ประเทศ สะท้อนให้เห็นถึง ความสำคัญ ในเรื่องการให้บริการหลังการขาย โดย เอเอเอส ทุ่มงบการอบรมวิศวกร ของเราให้มีคุณภาพสูงสุด ตามนโยบาย หลักของบริษัทที่ว่า "เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ AAS Looking after YOU and your CAR" เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า "AAS The Name you can Trust" ซึ่งพิสูจน์ให้ท่านได้เห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินงานมากกว่า 30 ปี
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Porsche Centre Bangkok โทร. 02-522-6655
Porsche Centre Pattanakarn โทร. 02-369-1111
Porsche City Showroom Siam Paragon ชั้น 2 โทร. 02-610-9911