ยุคของรถ EV กับผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าของไทย

พฤหัส ๐๙ สิงหาคม ๒๐๑๘ ๑๑:๕๖
การเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles) หรือที่เรามักเรียกกันสั้น ๆ ว่า รถ EV ในตลาดยานยนต์ของโลกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นไปในลักษณะก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาของเทคโนโลยีการขับเคลื่อนของรถ EV เอง เช่น ระบบมอเตอร์และชุดส่งกำลังที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบการเก็บประจุสำรองไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่ที่สามารถลดเวลาชาร์จไฟและสามารถวิ่งได้ระยะทางเพิ่มขึ้นต่อการชาร์จไฟแต่ละครั้ง รวมถึงต้นทุนของแบตเตอรี่ที่ลดลงต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดกระแสการเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้าก็เริ่มลามมาถึงประเทศไทย ซึ่งได้รับแรงกระตุ้นโดยค่ายรถยักษ์ใหญ่ทั้งยุโรปและญี่ปุ่น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่ายรถยนต์ Nissan และ Honda ได้ตัดสินใจลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (ลูกผสม คือใช้ได้ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อน) ในประเทศ ตามหลังค่ายใหญ่อย่าง Mercedez Benz, BMW, และ Toyota ที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้แล้ว

การก้าวเข้ามาของยานยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าแบบ Hybrid (มีเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันและแบตเตอรี่เก็บไฟฟ้าที่ได้จากการปั่นไฟของเครื่องยนต์) รถไฟฟ้าแบบ Plug-In Hybrid (คือรถไฮบริดที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าได้จากแหล่งไฟฟ้าภายนอก) หรือรถไฟฟ้าแบบ EV เต็มตัวคือ ไม่มีเครื่องยนต์ แต่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนแทน ถือว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่สร้างความปั่นป่วน (Disruptive Technology) กับอุตสาหกรรมหรือวิถีดำรงชีวิตแบบเดิม ๆ ที่คุ้นเคย ตัวอย่างเช่น จำนวนชิ้นส่วนอะไหล่ภายในรถยนต์ที่ใช้น้ำมันนั้นมีมากมายหลายพันชิ้น ก็จะลดลงเหลือไม่กี่ร้อยชิ้น เพราะชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบเก็บน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบจุดระเบิดของเครื่องยนต์ ระบบระบายไอเสียและระบบระบายความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง กลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อไปสำหรับรถ EV นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันเบนซิน ดีเซล รวมถึงก๊าซ LPG & CNG และน้ำมันหล่อลื่นก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพราะรถ EV มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่สูงกว่ารถยนต์น้ำมันค่อนข้างมาก และไฟฟ้าที่ใช้ขับเคลื่อนรถ EV ก็สามารถผลิตได้จากหลายแหล่งพลังงาน ทั้ง ถ่านหิน นิวเคลียร์ พลังน้ำ LNG และพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ฯลฯ และมอเตอร์ไฟฟ้านั้นไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นเหมือนกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ซึ่งต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะ ดังนั้น หากอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบไม่รีบหาทางรับมือหรือปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ก็มีแนวโน้มว่าอาจจะล้มหายตายจากไปเหมือนกับอุตสาหกรรมผลิตฟิล์มถ่ายภาพและอุตสาหกรรมผลิตแผ่น CD ที่ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์

ปัจจุบันประเทศไทยมีรถที่จดทะเบียนทั้งสิ้นรวมประมาณ 38 ล้านคัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์ 20.6 ล้านคัน รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน 8.8 ล้านคัน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถกระบะ) 6.5 ล้านคัน และรถยนต์ประเภทอื่นอีก เช่น รถบรรทุกและรถโดยสารขนาดใหญ่ ซึ่งเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงของรถยนต์ไฟฟ้านั้นพุ่งเป้าไปที่รถเก๋งส่วนบุคคล รถกระบะ และรถมอเตอร์ไซค์ ที่มีอยู่รวมกัน 35.9 ล้านคัน ซึ่งมีจำนวนมากและมีการพัฒนาของรถ EV เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนมากที่สุด แต่ในต่างประเทศ ก็มีการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อใช้เป็นรถบรรทุกและรถบัส ซึ่งมีการใช้งานได้จริงแล้ว ในจำนวนรถเก๋งและรถกระบะที่รวมกันประมาณ 15.3 ล้านคันนั้น มีการตั้งเป้าไว้ในแผนพัฒนากำลังไฟฟ้า (Power Development Plan – PDP) ฉบับล่าสุดที่กำลังทำการแก้ไขปรับปรุงอยู่ในขณะนี้นั้น ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายจำนวนรถไฟฟ้าอยู่ที่ 1.2 ล้านคันภายในปี พ.ศ. 2579 หรืออีกเกือบ 20 ปีข้างหน้า ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่มากเลย คือประมาณร้อยละ 7.8 เมื่อเทียบกับจำนวนรถในปัจจุบันที่ปีฐาน

จำนวนรถ EV ที่ประมาณไว้ที่ 1.2 ล้านคันในปี พ.ศ. 2579 นั้น ประเมินในเบื้องต้นว่าจะต้องสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 3,000 – 4,000 MW เพื่อมารองรับการชาร์จไฟของรถ EV จำนวนนี้อย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน ซึ่งเป็นขนาดกำลังไฟฟ้าที่ใช้ชาร์จแบบช้า (ประมาณ 4-8 ชั่วโมงจนแบตเตอรี่เต็ม) หากเป็นการชาร์จไฟฟ้าแบบเร็ว 20-30 นาทีตามสถานีชาร์จตามท้องถนนและอาคารสาธารณะต่าง ๆ ก็ต้องใช้กำลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ดังนั้น ประมาณว่า ต้องสร้างโรงไฟฟ้าแบบเฟิร์มขนาด 1,000 MW ต่อโรงอย่างน้อย 4-5 โรงเพื่อรองรับรถ EV จำนวนนี้ นอกจากนี้ อย่าลืมว่า ในกรุงเทพฯกำลังมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสาธารณะแบบ Electric Trains กันอีกมากมายหลายโครงการ ซึ่งก็จะแล้วเสร็จและใช้งานได้ในกำหนดเวลาของแผน PDP ซึ่งเห็นว่าผู้จัดทำแผน PDP ได้คำนึงถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าของรถไฟฟ้าสาธารณะส่วนนี้ไว้แล้ว

เรื่องที่ผมค่อนข้างเป็นห่วงคือ หากกระแสความนิยมรถไฟฟ้ามาแรง จะมีเจ้าของรถเก๋งและรถกระบะอีก 15.3 ล้านคัน ที่อยากจะดัดแปลงรถยนต์ที่ใช้น้ำมันของตนเอง ไปเป็นรถ EV โดยการรื้อเอาเครื่องยนต์ ถังน้ำมัน และอุปกรณ์ชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นออก และติดตั้งชุดมอเตอร์และระบบขับเคลื่อนของรถ EV พร้อมแบตเตอรี่แทน ซึ่งก็ได้มีการดัดแปลงที่ว่าแล้วนี้ในต่างประเทศ สำหรับในประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯก็เคยทดลองดัดแปลงรถยนต์ที่ใช้น้ำมันให้เป็นรถ EV โดยใช้งบประมาณไม่เกิน 80,000 บาท ถ้าประเมินว่าค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงประหยัดได้ 1 บาทต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร รถยนต์ทั่วไปซึ่งปกติวิ่งเฉลี่ย 20,000 กม.ต่อปี ก็จะใช้เวลาคืนทุนภายใน 4 ปีเท่านั้น ซึ่งถ้าหากคำนึงถึงค่าน้ำมันหล่อลื่นและค่าซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ที่สามารถประหยัดได้ ระยะคืนทุนก็จะยิ่งสั้นลงไปอีก ซึ่งหากในอนาคต ราคาแบตเตอรี่ลดลง รวมถึงอุปกรณ์มอเตอร์ขับเคลื่อนและระบบส่งกำลังมีต้นทุนผลิตที่ลดลงจากการขยายจำนวนของรถ EV ก็จะยิ่งทำให้มีคนอยากดัดแปลงรถยนต์น้ำมันของตนเองให้เป็นรถ EV เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับการติดตั้งระบบเชื้อเพลิงแก๊ส LPG & CNG ในอดีตมาแล้ว ดังนั้น ตัวเลขประมาณการตามแผน PDP ที่ 1.2 ล้านคันจึงน่าจะต่ำเกินไป หากจำนวนรถ EV ทั้งผลิตใหม่และดัดแปลงรวมกันกลายเป็น 3 ล้านคัน เราจะต้องเตรียมการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับถึง 12,000 MW ภายในเวลา 18 ปี ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย และยิ่งถ้าคิดว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาเตรียมการตลอดโครงการไม่ต่ำกว่า 5-8 ปี ในขณะที่การต่อต้านคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่กันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยกลุ่มเอ็นจีโอก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนข้อให้ ผมก็ไม่แน่ใจว่า เราจะมีไฟฟ้ารองรับการเปลี่ยนแปลงของกระแสยานยนต์ไฟฟ้านี้อย่างเพียงพอ !!!!

สุรพันธ์ วงษ์โอภาสี

นักวิชาการอิสระ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๙ เม.ย. บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๙ เม.ย. รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๙ เม.ย. กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๙ เม.ย. ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๙ เม.ย. กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๙ เม.ย. เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๙ เม.ย. สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๙ เม.ย. GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๙ เม.ย. เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๙ เม.ย. เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4