อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนให้เกิดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ผู้เล่นในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องรวมถึงผู้บริโภคต้องเห็นเป้าหมายร่วมกัน เช่น เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับภาครัฐต้องมีนโยบาย กลไกช่วยขับเคลื่อน และออกมาตรการควบคุม ดูแล และสนับสนุน ซึ่งหากประเทศไทยวางกรอบอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้ดี เราก็จะมีโอกาสเป็นผู้นำในอาเซียนได้ก่อน
“ไทยเรามีประสบการณ์จากวิกฤตโควิด 19 ที่ทุกคนเห็นถึงอันตราย จึงร่วมมือร่วมใจกัน ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการที่ดี จึงทำให้ประเทศไทยสามารถต่อสู้กับวิกฤตโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหามลพิษก็เช่นเดียวกัน ถ้าทุกคนมองภาพเดียวกัน การแก้ปัญหาก็จะไปในทิศทางเดียวกัน ยานยนต์ไฟฟ้าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาและยังจะสร้างโอกาสให้กับอุตสาหกรรมในประเทศที่ไม่ใช่แค่เรื่องตัวรถ แต่ยังเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมประเภทดิจิทัล IoT แอพพลิเคชั่นและซอฟท์แวร์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าที่จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย” ดร.ยศพงษ์ กล่าว
ด้าน ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่า ยานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคตของประเทศไทย เพราะทั่วโลกให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม หากได้รับการสนับสนุนจัดทำมาตรฐานของยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการออกมาตรการกระตุ้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาบุคลากรไทยด้านการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เมื่อเกิดความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้น การผลิตก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ผู้ผลิตรถยนต์จะเกิดความเชื่อมั่นและกล้ามาลงทุนในตลาดนี้มากยิ่งขึ้น แต่หากเรารอเวลาไม่ทำอะไรเราจะกลายเป็นแค่ผู้บริโภคเท่านั้น โอกาสของประเทศก็จะหายไป