“ทียูเอฟ” โชว์กำไร Q2/2554 พุ่ง 42%

จันทร์ ๐๘ สิงหาคม ๒๐๑๑ ๑๒:๑๒
ทียูเอฟ ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2554 มีการเติบโตที่ดีมากทั้งยอดขายและกำไร โดยสามารถทำกำไรสูงถึง 42% ยอดขายรูปเงินเหรียญสหรัฐโตขึ้น 55% และยอดขายรูปเงินบาทก็โตขึ้น 46% ขณะที่ภาพรวมผลงานช่วง 6 เดือนแรก ทำกำไรสุทธิไปแล้ว 1,990 ล้านบาท ผลงานของบริษัทย่อยทั้งในอเมริกาและยุโรปมีการเติบโตที่ดี และเป็นไปตามเป้า ซึ่งจากผลงานในขณะนี้ มั่นใจว่า ปีนี้จะทะลุเป้า 3,000 ล้านเหรียญที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน และพร้อมเดินหน้าไปสู่เป้าหมายใหม่ที่ 4,000 ล้านเหรียญในปี 2558

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือทียูเอฟ ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย เผยถึง “ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ประจำปี 2554 ว่า บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิเท่ากับ 1,238 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 873 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.29 บาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐและในรูปเงินบาทก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถทำยอดขายรูปเงินเหรียญสหรัฐได้เท่ากับ 821 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงถึง 55% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนที่มียอดขายเท่ากับ 529 ล้านเหรียญสหรัฐ และมียอดขายรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 45% จากยอดขาย 17,092 ล้านบาทในไตรมาส 2 ของปีก่อน เป็นยอดขาย 24,860 ล้านบาทในไตรมาสนี้

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัททำยอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐไปแล้ว 1,564 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 1,026 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้จากการขายในรูปเงินบาทก็มีการเติบโตขึ้น 42% จาก 33,421 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปีก่อน มาอยู่ที่ 47,565 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่กำไรสุทธิรวม 6 เดือนแรกเท่ากับ 1,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 2.08 บาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน”

จากผลงานในไตรมาส 2 จะเห็นว่า กำไรสุทธิมีการเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับนโยบายเรื่องต้นทุน จากการที่ราคาวัตถุดิบปลาทูน่าและกุ้งมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราการทำกำไรลดลงในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ดี บริษัทได้มีการปรับต้นทุนและราคาให้มีความเหมาะสม ขณะเดียวกันก็มีการปรับสัญญาการซื้อขายให้สั้นลง นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการควบรวมกิจการของ MW Brands ได้หมดไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ไตรมาสแรก ทั้งนี้ในส่วน MW Brands เองก็สร้างผลงานได้ดีตามเป้าที่ตั้งไว้ในทุกไตรมาส และเมื่อพิจารณาตัวเลขยอดขายของ TUF ในไตรมาสนี้ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ามีการเติบโตถึง 100% ปลาซาร์ดีนและแมคเคอเรล เติบโต 40%

และกุ้งแช่แข็ง เพิ่มขึ้น 15% จะเห็นว่า ปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาดีขึ้นตามลำดับ ทำให้มาร์จิ้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดย Gross margin ในไตรมาสนี้เท่ากับ 17%

สัดส่วนยอดขายตามผลิตภัณฑ์ในไตรมาส 2 ปี 2554 ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ายังคงเป็นมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งโดยคิดเป็นสัดส่วน 50% อันดับสองได้แก่ กุ้งแช่แข็ง 18% รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์ในประเทศ 7% อาหารแมวบรรจุกระป๋อง 6% อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 5% อาหารกุ้ง 5% ปลาซาร์ดีนและแมคเคอเรลบรรจุกระป๋อง 4% ปลาแซลมอนแช่แข็ง 4% และปลาหมึกแช่แข็ง 1% โดยตลาดส่งออกหลักได้แก่ สหรัฐอเมริกา 35% รองลงมาคือ สหภาพยุโรป 35% ญี่ปุ่น 10% ขายในประเทศ 8% ออสเตรเลีย 3% เอเชีย 3% อัฟริกา 2% ตะวันออกกลาง 2% อเมริกาใต้ 1% และแคนาดา 1%

และเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทได้มีการออกหุ้นกู้จำนวน 3 ชุดขึ้นมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบันเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องใช้สิทธิออกเพิ่มจากเดิมมูลค่า 4,500 ล้านบาท เป็น 6,750 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.51% หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.70% และหุ้นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.02% สำหรับวัตถุประสงค์ในการออกก็เพื่อชำระคืนหนี้เดิมก่อนกำหนด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของบริษัท ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น โดยในช่วง 2 ปีนี้ นโยบายหลักของบริษัท จะเน้นเรื่องของการชำระหนี้ รวมถึงการรักษาอัตราการทำกำไรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

จากผลประกอบการดังกล่าวข้างต้น “สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจอันแข็งแกร่งของบริษัท บริษัทยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อย ยังมีแนวโน้มการเติบโตในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งมั่นใจว่า จะสามารถไปถึงเป้าหมายใหม่ที่ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้ภายในปี 2558 นายธีรพงศ์กล่าว

และในวันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้จัดสรรกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานงวดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค - 30 มิ.ย. 2554 เป็นเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.91 บาท และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 30 ส.ค. 2554 อย่างไรก็ดี นโยบายการจ่ายเงินปันผลในปีนี้ จะแตกต่างจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีความจำเป็นต้องปรับในเรื่องของนโยบายการจ่ายเงิน

ปันผลใหม่ โดยกำหนดจ่ายไม่เกิน 1,200 ล้านบาททั้งปี ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากบริษัทต้องการกำหนดแผนการดำเนินงานให้มีความเข้มข้นขึ้น และเมื่อหนี้สินต่อทุนกลับลงมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้ง บริษัทก็จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราเดิมคือ ไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ อย่างไรก็ดี เรามั่นใจว่า สิ่งที่บริษัทดำเนินการนั้น ในระยะยาวจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนได้อย่างแน่นอน

ฝ่ายสื่อสารองค์กร

โทร. 02-298-0024 ต่อ 609, 675-678

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๕๔ กทม. เตรียมปรับปรุงพัฒนาระบบการให้บริการงานทะเบียนสำนักงานเขต
๑๗:๑๗ สมาคมเพื่อนชุมชน ส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถ่ายทอดองค์ความรู้ แนวทางลดก๊าซเรือนกระจก
๑๗:๔๑ กทม. เร่งติดตั้งเสา-ตะแกรงรั้วกั้นเกาะกลางถนนวิสุทธิกษัตริย์ที่ถูกรถชนเสียหาย
๑๗:๐๔ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ขอเชิญชวนนักศึกษา และบุคคลทั่วไป เข้าร่วมงาน M-Sci JOB FAIR 2024 หางานที่ใช่ สร้างงาน สร้างโอกาส วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เวลา 13.00-16.00 น. ณ หอประชุม รักตะกนิษฐ
๑๗:๒๘ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำเสนอโซลูชั่นดิจิทัลลุยตลาดอาคารอัจฉริยะเพื่อความยั่งยืน
๑๖:๒๙ จิม ทอมป์สัน เผยทิศทางการพา แบรนด์ผ้าเมืองไทย ผงาดเวทีโลก ส่องกลยุทธ์การครีเอตผลงานคุณภาพให้สอดรับเทรนด์สิ่งทอระดับสากล
๑๖:๓๘ อาดิดาสจับมือนักฟุตบอลระดับตำนาน ส่งแคมเปญ 2006 JOSE 10 สร้างแรงบันดาลใจและความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดให้กับเหล่านักฟุตบอลเยาวชนหญิง
๑๖:๑๐ Maison Berger Paris พาชมเครื่องหอมบ้าน 2 คอลเลคชั่นใหม่ MOLECULE และ JOY จัดเต็มเซ็ตของขวัญ ครบทุกรูปแบบความหอม สร้างบรรยากาศหรูหราพร้อมกลิ่นหอมบริสุทธิ์
๑๖:๕๗ กทม. เตรียมระบบเฝ้าระวัง-ควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 หลังเทศกาลสงกรานต์
๑๕:๑๕ NCC. ผนึก ททท. ขยายตลาดท่องเที่ยวมูลค่าสูง ชี้ตลาดท่องเที่ยวเฉพาะทาง (Niche Market) โต ลุยจัดงาน Thailand Golf Dive Expo plus OUTDOOR Fest