เมื่อจำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาวะอุตสาหกรรม ในกลุ่มสินค้าที่สำรวจส่วนใหญ่ มีค่าอยู่เหนือระดับ 50.0 แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะดีขึ้น ยกเว้น กลุ่มข้าวและแป้งข้าว และผักผลไม้ที่ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะแย่ลง ขณะที่การจำแนกตามขนาดธุรกิจ พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นภาวะอุตสาหกรรมอาหารในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่มีค่าดัชนีอยู่เหนือระดับ 50.0 แสดงถึงความเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะดีขึ้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจขนาดกลางมีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะทรงตัว (ระดับ 50.0) และเมื่อจำแนกตามการส่งออก ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารที่เน้นตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศเป็นหลัก มีค่าดัชนีเท่ากับ 58.3 และ 54.3 แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าภาวะอุตสาหกรรมจะมีทิศทางที่ดี
สำหรับข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ มีผู้ตอบแบบสำรวจในภาคอุตสาหกรรมอาหารร้อยละ 82.5 เห็นว่าข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ คือการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงาน รองลงมาร้อยละ 48.8 คือการขาดแคลนวัตถุดิบ และอันดับสามร้อยละ 47.5 คือการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน
ส่วนปัญหาเร่งด่วนที่ต้องการการแก้ไข คือปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่เพาะปลูกที่สำคัญ
การขาดแคลนแรงงานในกลุ่มสินค้าเครื่องปรุงรส และราคาวัตถุดิบปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องปรุงรส และแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะว่า ภาครัฐควรกำหนดมาตรการที่ชัดเจนเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการขึ้นค่าจ้างแรงงาน 300 บาททั่วประเทศ และภาครัฐควรกำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจนเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวที่รับเข้ามาทำงานในไทย เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อภาคธุรกิจให้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้