โดยในวันพุธที่ 10 มี.ค.53 เวลา 23.00 น. “หนุ่มเจ-เจตริน วรรธนะสิน” ลุยเดี่ยว นำตัวแทนผู้เข้าแข่งขันให้ปฏิบัติภารกิจเพื่อเรียนรู้ และร่วมอนุรักษ์ “การละเล่นไทยโบราณ” ที่ถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่สร้างความบันเทิง ด้วยภูมิปัญญาไทยที่นอกจากจะก่อให้เกิดความสนุกสนานแล้วการละเล่นต่างๆ ล้วนฝึกให้เกิดสมาธิ ไหวพริบ และความอดทนได้ดีอีกด้วย
เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศและ การปฏิบัติภารกิจการละเล่นในแบบไทยโบราณ ทั้งพิธีกรและผู้เข้าแข่งขัน จึงเปลี่ยนมานุ่งโจงกระเบน เสร็จเรียบร้อย พิธีกรขาลุย ก็พาน้องๆ ลงสนามอุ่นเครื่องด้วยเกมแรกทันที กับการ “ตีวงล้อ” ซึ่งเป็นการนำอุปกรณ์ใกล้ตัวมาประยุกต์ใช้ คือการนำหวายหรือไม้ไผ่มาทำเป็นวงล้อและใช้ไม้ตีลูกล้อให้กลิ้งไปข้างหน้า กติกาการแข่งขันต้องตีวงล้อไปตามระยะทางที่กำหนดให้ถึงเส้นชัยหากใครเข้ารอบคนสุดท้ายตกรอบ
ผ่านภารกิจแรก ไปแบบเบาะๆ มาสู่การละเล่นที่สอง กับผู้แข่งขันที่เหลือที่จะต้องเล่นเกม “หัวล้านชนกัน” ซึ่งเป็นกีฬาที่มีมาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์ ฝึกพละกำลัง ความแข็งแรงและอดทน โดยในสมัยก่อนผู้เล่นจะต้องมีหัวล้านเท่านั้น แต่มาประยุกต์ในรายการโดยให้ผู้เข้าแข่งขันสวมหมวกกันน็อกที่ทำเป็นหัวล้าน และจะต้องวิ่งเข้ามาเลือกประตูคู่ต่อสู้ บางคนดวงดีเลือกได้คู่ต่อสู้เป็นเด็ก
สามารถเอาหัวชนคู่ต่อสู้ออกนอกวงกลมได้แบบผ่านฉลุย บางคนดวงจู๋เลือกได้พี่บึ้กกล้ามใหญ่ แถมส่งเสียงขู่คำราม ถูกเขี่ยออกนอกวงกลมเป็นอันตกรอบไปโดยปริยาย แม้จะได้แผลกันไปเป็นแถว แต่ก็สร้างทั้งความสนุกสนานให้กับผู้เข้าแข่งขันได้ไม่น้อย
ผ่านเกมในด่านที่สองไปแล้วก็มาถึง ด่านต่อมากับเกม “ปลาหมอตกกระทะ” ผู้แข่งขันสวมบทเป็น “ปลาหมอ” ที่จะต้องกระโดดเข้าไปในวงที่มีคนนั่งล้อมวงจับมือกันเป็นรูปกระทะ คนที่เป็นกระทะจะยกมือขึ้นกั้นระหว่างที่ปลาหมอกระโดด ส่วน “ปลาหมอ” ก็ต้องพยายามกระโดดให้พ้นจึงถือว่าผ่าน การละเล่นที่ดูเหมือนง่าย แต่กลับยากเพราะบางคนกะจังหวะไม่ดี เกิดสะดุดขอบกระทะ ล้มคะมำหัวเข่ากระแทก ได้แผลกันไปตามๆ กัน
ถึงด่านที่สี่กับการละเล่น “อ้ายเข้ อ้ายโขง” ที่ผู้เข้ารอบต้องลงน้ำกันจริง ๆ โดยมีทีมงานที่แปลงกายเป็นอ้ายเข้ มารอดักอยู่ในน้ำ คอยจับคนที่ลงมาไม่ให้ขึ้นฝั่ง ฝ่ายผู้เข้าแข่งขันก็ต้อง เอาตัวรอดโดยใช้การหลอกล่ออ้ายเข้ และวิ่งขึ้นฝั่งให้เร็วที่สุด หากหมดเวลาแล้วยังไม่สามารถขึ้นฝั่งได้เป็นอันตกรอบไปตามระเบียบ ด้านหนุ่มเจและผู้เข้าแข่งขันที่เหลือยืนร้องเพลงเชียร์ และช่วยลุ้นกันอย่างเต็มที่บนสะพาน
มาถึงด่านสุดท้ายของวันนี้ “การเดินกะลา” เกมจากภาคอีสาน ฝึกการใช้กำลังขา และความไว เป็นเกณฑ์ตัดสิน วัสดุที่ใช้คือเชือกร้อยกับตากะลามะพร้าว 2 อัน ใช้นิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้หนีบเส้นเชือกเอาไว้แล้วเดินไปตามเส้นทางที่กำหนด เกมที่คิดว่า “ง่าย” แต่กลับกลายเป็น “ยาก” เพราะเส้นทางที่เดินไม่ได้เป็นแค่ทางเรียบธรรมดา แต่ต้องเดินขึ้นเนินดิน แต่ละคนทุลักทุเลไปตามๆ กัน สร้างความสนุกสนานไม่น้อยจนลืมการแข่งขันไปโดยปริยาย แต่เกมก็คือเกม ผู้เข้าแข่งขันที่เข้ารอบ แบบลอยลำจะมีเพียงแค่ 12 ผู้เข้าแข่งขันชาย และ 12 ผู้เข้าแข่งขันหญิง ที่สามารถประคองตัวบนกะลามาถึงยังเส้นชัยได้ก่อน ถือว่าเข้ารอบ
การละเล่นไทยโบราณของบรรดากลุ่มตัวแทนคนรุ่นใหม่ในการแข่งขันรอบนี้จะเป็นอย่างไร จะสร้างบรรยากาศความสนุกสนาน, รอยยิ้มหรือน้ำตาของผู้เข้าแข่งขันอย่างไร ติดตามได้ รายการ “เดอะวัน รวมไทยใจเดียวกัน” ในวันพุธที่ 10 มีนาคมนี้ เวลา 23.00 น.ทาง โมเดิร์นไนน์ทีวี