นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ต้องจารึกเอาไว้ตราบชั่วลูกชั่วหลาน ว่า “หัวใจของคนไทยทั้งชาติ รวมเป็นหนึ่งเดียวอยู่ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง” ในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ปิยะเทวี พระราชธิดา ในรัชกาลที่ 6 ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติของพระองค์ เมื่อวันจันทร์ที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา
วันนี้ กบต่อ กบก้อง จะพาไปร่วมค้นหาพระราชพิธีทางประวัติศาสตร์ในอดีตที่ถูกจารึกไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมในอดีตคนไทยต่างมีความเชื่อมาแต่โบราณว่า พระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ เปรียบเสมือนสมมติเทพ เมื่อเสด็จพระราชสมภพถือเป็นเทพอวตาร และเมื่อถึงวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ คือ การเสด็จกลับสู่เทวภพ เรียกว่า สวรรคต ตามพระราชประเพณีโบราณ สืบมาแต่กรุงศรีอยุธยา จึงต้องจัดงานถวายพระเพลิงพระศพ โดยอัญเชิญพระศพไปถวายพระเพลิงบนพระเมรุมาศ ที่สร้างขึ้น ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ซึ่งสมมติว่า เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นยอดเขาพระสุเมรุในป่าหิมพานต์ ใจกลางแห่งโลกภพที่เชื่อมต่อกับสรวงสวรรค์ เพื่อส่งเสด็จพระองค์กลับสู่สวรรค์นั่นเอง และ การเนรมิตพื้นที่ท้องสนามหลวงให้เป็นดั่งป่าหิมพานต์ รวมถึงการสร้างพระเมรุ สร้างพระโกศไม้จันทน์ เตรียมการบูรณะซ่อมแซมราชรถและพระยานมาศ และการประกอบพระราชพิธีฯทั้งหมด จำเป็นต้องใช้หน่วยงานราชการ และบุคลากรจากทุกภาคส่วน รวมแล้วนับร้อยหน่วยงาน ไปจนถึงกำลังพลจากทุกเหล่าทัพ รวมแล้วนับหมื่นชีวิต พร้อม ๆ กับการระดมสรรพวิชาการ องค์ความรู้ ในศาสตร์และศิลปะทุกแขนง โดยเฉพาะสุดยอดช่างฝีมือไทยที่เกี่ยวของกับราชประเพณีที่สืบเนื่องมาแต่โบราณ เช่น ช่างไทยแขนงต่าง ๆ จากสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ตั้งแต่ช่างทองชั้นสูง ช่างกระจก จนถึงช่างพื้นบ้านอย่างช่างแทงหยวก เห็นไหมคะ ว่าพระราชพิธีฯแห่งประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจารึกไว้ กว่าจะออกมาสวยงาม ยิ่งใหญ่อย่างสมพระเกียรติของพระองค์นั้น ต้องผ่านกระบวนการหลากหลายขั้นตอน ทั้งบุคลากรจากทุกภาคส่วน กำลังพล ทหารจากทุกเหล่าทัพ หลายหมื่นชีวิต
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพสกนิกรชาวไทย ผู้จงภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และเป็นส่วนหนึ่งแห่งความสมัครสมานสามัคคีของคนไทยทั้งชาติ ในการร่วมส่งเสด็จ “ดวงแก้ว แห่งพระมงกุฎเกล้า” สู่สรวงสวรรค์ ในกบนอกกะลา ศุกร์ที่ 27 เมษายน และ 4 พฤษภาคมนี้ เวลา 20.30 น. ทาง ModernineTV