การขยายตลาดในครั้งนี้จะช่วยสร้างงานมากกว่า 1000 ตำแหน่งในอินเดีย ตลอดจนสร้างโอกาสการเรียนรู้ข้ามประเทศสำหรับทั้งชาวสิงคโปร์และชาวอินเดีย จากการที่บริษัทมีสิทธิบัตรเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ VoIP/Video มากกว่า 40 ฉบับ รวมถึงที่อยู่ระหว่างรอจดสิทธิบัตรอีก 60 รายการ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญสำหรับสิงคโปร์ที่จะเข้ามาร่วมเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทต่างชาติครองตลาดอยู่ โดย BIGO จะมีสำนักงานระดับภูมิภาคเพิ่มเป็น 20 แห่ง และศูนย์กลางระดับภูมิภาค 4 แห่งภายในปี 2562
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อให้บริษัท ได้แก่ BIGO LIVE ซึ่งล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนใช้งานแอปไลฟ์สตรีมนี้แล้วมากกว่า 200 ล้านรายในกว่า 100 ประเทศและภูมิภาค ซึ่งถือเป็นจำนวนที่เติบโตรวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบเป็นรายวัน นอกจากนี้ยังติดอันดับแอปที่มีรายได้รวมมากที่สุดทั่วโลก จากการรายงานของ App Annie ในปี 2561 ขณะที่อีกหนึ่งแอปยอดนิยมของบริษัท ได้แก่ LIKE แอปวิดีโอขนาดสั้น ซึ่งปัจจุบันมีผู้เข้าใช้งานประจำ 20 ล้านรายต่อวันทั่วโลก
หลังจากเติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทจึงตั้งเป้าที่จะรุกขยายธุรกิจทั้งในตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ โดยเจสัน หู ซีทีโอของ BIGO Technology กล่าวว่า "เรากำลังตั้งเป้าไปที่การขยายธุรกิจเข้าสู่อินเดียเป็นแห่งแรกจากสามตลาดที่วางแผนไว้ โดยอินเดียจะมีบทบาทส่งเสริมให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาในสิงคโปร์มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น การก้าวเดินอย่างกล้าหาญในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกสำหรับ BIGO และสะท้อนถึงความจำเป็นที่เราจะต้องเปิดศูนย์การดำเนินงานในต่างประเทศ เพื่อรองรับฐานผู้ใช้ที่เติบโตขึ้น"
BIGO เชื่อมั่นว่า การลงทุนและสถานะของบริษัทจะมั่นคงและไม่ถูกสั่นคลอนโดยแอปอื่น ๆ ที่มีอยู่ในตลาด ความเชื่อมั่นนี้มาจากการที่เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นขุมพลังขับเคลื่อนแอปนั้น มีความก้าวล้ำกว่าแอปอื่น ๆ ในประเภทเดียวกันมาก นอกจากนี้ BIGO ยังภาคภูมิใจและมั่นใจในความสัมพันธ์ที่ทางบริษัทได้สร้างขึ้นกับบรรดาสถานีโทรทัศน์ ด้วยการให้การสนับสนุนและให้คำปรึกษา พร้อมเสริมสร้างโอกาสให้พวกเขาได้สร้างธุรกิจเป็นของตนเองผ่านทางแอป
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ: Marie Wong, [email protected], +65-8795-0780
รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20190218/2377867-1
คำบรรยายภาพ: BIGO จากสิงคโปร์ ประกาศแผนรุกเจาะ 3 ตลาดใหญ่ในปี 2562 เริ่มจากการขยายเข้าสู่ตลาดอินเดียด้วยเงินลงทุน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ