ในปีนี้ กรมมีกลยุทธ์ในการเปิดร้าน TOPTHAI บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในหลายตลาดเป้าหมาย จึงได้เชิญแพลตฟอร์มเข้ามาร่วมโครงการฯ เพื่อเร่งหาสินค้าไทยคุณภาพจากผู้ประกอบการที่มีความพร้อมขึ้นขายบนร้าน TOPTHAI โดยการพัฒนาร้านดังกล่าว ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าสินค้าจากร้าน TOPTHAI จะเป็นสินค้าเกรดพรีเมี่ยมคุณภาพที่ดีจากไทย และมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าแบบ B2C ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลักดันผู้ประกอบการไทยได้ทดลองตลาดออนไลน์ใหม่ๆ ในประเทศศักยภาพ อีกทั้งส่งเสริมการสร้างอาชีพ พัฒนารายได้ และสามารถนำไปต่อยอดธุรกิจของตัวเองได้จริง โดยงานในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากทางแพลตฟอร์มพันธมิตร จำนวน 4 ราย ได้แก่ Kha-leang.com (กัมพูชา), BigBasket (อินเดีย), Tmall (จีน) และ Amazon (สหรัฐฯ) เข้าร่วมให้รายละเอียดเชิงลึกในการทำธุรกิจและจับคู่เจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย นายวิทยากร กล่าว
ขณะที่ความสำเร็จของโครงการ Cross-Border e-Commerce Solutions & Business Matching 2020 ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ของปี 2563 ต่อจากที่จังหวัดอุตรดิตถ์และแพร่ ในงานครั้งนี้มีการจับคู่ธุรกิจกับแพลตฟอร์มพันธมิตรเพื่อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ไปตลาดต่างประเทศ โดยมีผู้เข้าร่วมงานจำนวน 312 ราย เกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจ 100 คู่ และคาดการณ์ว่าจะมีอย่างน้อย 33 แบรนด์ขึ้นไป ขายในร้าน TOPTHAI บนแพลตฟอร์มพันธมิตร
ด้านสินค้าที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ อาหารแปรรูป ขนมไทย ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เสื้อผ้า เครื่องประดับ แชมพู เครื่องสำอางและสกินแคร์ สำหรับบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีทั้งผู้ซื้อและผู้ประกอบการจะได้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทราบถึงความต้องการของตลาดเพื่อนำกลับไปพัฒนาสินค้าต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ที่พลาดโอกาสในการเข้าร่วมโครงการฯ สามารถรับชมข้อมูลการทำธุรกิจออนไลน์ย้อนหลังได้ที่ Facebook : ThaiTrade.com หรือสามารถสอบถามรายละเอียดโครงการฯ เพิ่มเติมได้ที่ 02 507 7858, 085 502 5391 ขณะเดียวกันสามารถติดตามความเคลื่อนไหวโครงการ Cross – Border e-Commerce Solutions & Business Matching ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้ที่เว็บไซต์ Thaitrade.com หรือ Facebook : ThaiTrade.com