นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การปรับตัวลงของตลาดหุ้นจีนราว 10% ในช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประกอบกับราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลงจากการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ลงทุนในการเข้าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนและกองทุนทองคำ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจในอนาคต และสำหรับผู้ที่เลือกลงทุนในกองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA)หรือ กองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) ตั้งแต่วันที่ 5 -19 กุมภาพันธ์ 2553 จะได้รับอั่งเปาพิเศษรับตรุษจีนจาก บลจ. กสิกรไทย เป็นการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มในกองทุนนั้นๆ โดยเงินลงทุนทุกๆ 50,000 บาท จะได้รับหน่วยลงทุนเพิ่ม 100 บาทอีกด้วย
“ความน่าสนใจของกองทุน K-CHINA อยู่ตรงที่ตลาดหุ้นจีนยังเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งหากมองย้อนกลับไปถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปีที่ผ่านมา ตัวเลข GDP ทั้งปี 2552 ขยายตัวต่อเนื่องที่ 8.70 % แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่สามารถฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจของโลกมาได้อย่างดี และยังส่งผลให้ดัชนีหุ้น H-Share ของจีนในปีที่แล้วปรับตัวสูงขึ้นถึง 62% แม้ช่วงกลางเดือนมกราคมดัชนีหุ้นจีนจะมีการปรับตัวลดลงไปบ้างจากมาตรการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจของทางการจีน แต่หากพิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของจีนที่เน้นการพึ่งพาเศรษฐกิจภายในเป็นหลักและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกประกอบกันแล้ว น่าจะช่วยให้คลายกังวลได้ว่า เศรษฐกิจจีนยังคงมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจจากการเติบโตของหุ้นจีนด้วย “ นายพัชรกล่าว
ด้านแนวโน้มราคาทองคำปี 2553 นายพัชรให้ความเห็นว่า ปัจจุบันราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ ประมาณ 1,100 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าเข้าลงทุน เพราะในระยะยาวราคาทองคำยังเป็นไปในทิศทางที่สดใส จากข้อมูลของศูนย์วิจัยของธนาคารกสิกรไทยคาดว่าในปีนี้ราคาทองคำจะปรับตัวอยู่ที่ระดับ 1,250 — 1,300 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่าในระยะยาวค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าซึ่งส่งผลดีต่อการปรับตัวขึ้นของราคาทอง เนื่องจากประเทศยังบอบช้ำกับวิกฤตเศรษฐกิจในรอบปีที่ผ่านมา และยังคงมีปัญหาที่ยังต้องใช้เวลาในการแก้ไข เห็นได้จากอัตราหนี้สินต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูงรวมถึงตัวเลขการขาดดุลจากการใช้จ่ายของภาครัฐสำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ส่วนผู้ลงทุนที่นิยมซื้อทองคำหรือทองคำแท่งเพื่อเป็นของขวัญในเทศกาลตรุษจีน การลงทุนในกองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากกองทุนมีการลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust ที่ลงทุนในทองคำโดยตรง มีข้อดีกว่าการซื้อทองคำแท่งเก็บไว้เพราะไม่มีต้นทุนในเก็บรักษา และใช้เงินลงทุน ขั้นต่ำแค่ 10,000 บาทเท่านั้นก็สามารถลงทุนได้ ซึ่งถือว่าต่ำกว่าทองคำแท่งค่อนข้างมาก และหากลงทุนในช่วงค่าเงินบาทแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างในขณะนี้ การลงทุนใน K-GOLD จะให้โอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในทองคำแท่งด้วย ” นายพัชรกล่าวในที่สุด
กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน China Focus Fund ซึ่งบริหารจัดการโดย Fidelity International บริษัทจัดการลงทุนที่มีความชำนาญในตลาดหุ้นจีนมากว่า 16 ปี กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละไม่เกิน 4 ครั้ง สภาพคล่องสูง ซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ กองทุนจัดตั้งเมื่อ 7 พ.ย. 2552 โดย ณ 2 ก.พ. 2553 กองทุนมีขนาดประมาณ 377.81 ล้านบาท
กองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR GOLD Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละไม่เกิน 4 ครั้ง สภาพคล่องสูง ซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ ณ 2 กุมภาพันธ์ 2553 กองทุนมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี อยู่ที่ 0.75% 16.91% และ 21.36% ตามลำดับ ทั้งนี้ กองทุนได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี และได้จดทะเบียนเพิ่มทุนจากมูลค่าโครงการเดิม 1,400 ล้านบาทเป็น 5,000 ล้านบาทเมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา นับเป็นกองทุนทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมกองทุนรวม กองทุนมีการจ่ายเงินปันผลไปแล้วทั้งสิ้น 2 ครั้ง ในอัตรา 0.80 บาทต่อหน่วย
ผู้สนใจสามารถลงทุนในกองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) และกองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) ได้ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือ บลจ. กสิกรไทย จำกัด โทร. 0 2673 3888