ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำ และที่ปรึกษาจากประเทศไทยที่จะมาร่วมงานยูบีเอส อาเซียนและอินเดียในครั้งนี้ ได้แก่ บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน), บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน), บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท เดลต้า อิเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน), บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน), บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน), ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน), บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) , บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) , บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) , บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน)
การประชุมในครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้บริษัทไทยที่เข้าร่วมงาน ได้แสดงศักยภาพและผลงานของตนเองให้แก่กลุ่มธุรกิจการลงทุนระดับนานาชาติ อีกทั้งยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ และยังเป็นโอกาสที่ผู้เข้าร่วมประชุมจะได้ร่วมพบปะสนทนากันผ่านการประชุมทั้งแบบตัวต่อตัวหรือแบบกลุ่ม นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนสถาบันจากประเทศออสเตรเลีย, ประเทศแถบเอเชีย, ยุโรป, และสหรัฐอเมริกามาร่วมงานกว่า 300 ราย รวมถึงบริษัททั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จากประเทศอินเดีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ประเทศไทย, มาเลเชีย และฟิลิปปินส์ อีกกว่า 80 ราย ที่จะเข้าร่วมในงานสำคัญครั้งนี้
มร. เจมี่ วู้ดเวิล์ด กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส จำกัด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หลังจากที่การบริโภคภายในประเทศเริ่มมีการขยายตัว และการปฏิรูปการเมืองก็เริ่มเป็นไปในทางบวก อีกทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มสูงขึ้น และการไหลเข้าของเงินทุนที่ทำให้เกิดสภาพคล่องและงบดุลที่แข็งแกร่งขึ้น จนทำให้ปีนี้ประเทศแถบเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถมีตลาดที่มีผลประกอบการดีเยี่ยมในเอเชียถึงสี่ตลาดด้วยกัน แม้ว่าจะเกิดความวุ่นวายทางการเมือง แต่ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง และยูบีเอสก็ยังคาดว่าประเทศไทยจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 7.7% ในปีนี้ ขณะที่ความเป็นไปได้ด้านนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับที่จำกัด แต่ความเข้มแข็งทางการเงินและการธนาคารและสภาพงบดุลของภาคเอกชน พร้อมทั้งความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ต่ำ นั่นหมายความว่านโยบายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลดี และเศรษฐกิจไทยและบริษัทในประเทศก็น่าจะมีการเติบโตที่ดียิ่งขึ้น”
“การประชุมยูบีเอส อาเซียนและอินเดีย มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้บริษัทในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงนักลงทุนระหว่างประเทศ สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ด้านการลงทุนที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และสถาบันต่างๆ ยังจะได้มีโอกาสพบปะพูดคุยโดยตรงกับผู้บริหารระดับสูงเพื่อรับทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประเทศไทยเพื่อจุดมุ่งหมายในการลงทุน อีกทั้งยังเป็นโอกาสอันดีที่บริษัทจากประเทศไทย จะได้พบกับนักลงทุนและขยายฐานผู้ถือหุ้นได้อีกด้วย” เขากล่าวเสริม
ทั้งนี้ การประชุมงานยูบีเอส อาเซียนและอินเดีย จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-3 กันยายน 2553 ที่ประเทศสิงคโปร์ ยูบีเอส จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของตลาดตราสารทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกด้วยการให้บริการที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคและการเป็นผู้นำในการให้บริการในประเทศหลัก ๆ นอกจากนั้น ยูบีเอส ยังติดอันดับหนึ่งในสองของบริษัทที่ให้บริการที่ดีเยี่ยมในเอเชียทางด้านการจัดทำบทวิเคราะห์หลักทรัพย์และการบริการการซื้อขายหลักทรัพย์จากผลของการจัดอันดับของนิตยสารเอเชียมันนี่ในระหว่าง พ.ศ. 2545 - 2552 รวมทั้งยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทผู้ที่ให้บริการยอดเยี่ยมด้านตราสารอนุพันธ์ในเอเชียจากนิตยสารเอเชียมันนี่ระหว่างปี พ.ศ. 2547 — 2552 ตลอดจนติดอันดับหนึ่งในสามของบริษัทที่จัดทำบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ยอดเยี่ยมซึ่งได้รับการโหวตจากนักลงทุนสถาบันระหว่างปี พ.ศ. 2543 - 2552
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
รุ่งนภา ชาญวิเศษ, ต้องหทัย สุดดี
เวเบอร์ แชนด์วิค (ประเทศไทย)
โทร: 02-343-6000 ต่อ 061, 174
อีเมล์: [email protected], [email protected]