ทั้งนี้นโยบายการบริหารกองทุนของ บลจ.ไทยพาณิชย์จะเน้นการลงทุนในหุ้นที่ PE ไม่สูงมากเพราะใน อนาคตเศรษฐกิจจะมีความผันผวนกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นหุ้นที่มีผลดำเนินงานที่ดีอย่าง สม่ำเสมอจะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นที่เน้นการเติบโตจากโครงการในอนาคต อย่างไรก็ตามสิ่งที่ ยังต้องจับตามองคือเรื่องการเมืองภายในประเทศ ทั้งเรื่องของการจำนำข้าว นโยบายการจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการตัดสินคดีเขาพระวิหารทีจะเกิดขึ้น ในไตรมาสที่ 3 นี้ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศจีนที่มีการเติบโตที่ลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยและทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับลงมาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นได้
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในช่วงนี้ นักลงทุนควรแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ เพื่อทยอยเข้าซื้อกองทุนอย่าง เพราะมีโอกาสเป็นไปได้ที่ในอีก 1 ถึง 2 เดือนข้างหน้า ราคาหุ้นยังมีความผันผวนต่อเนื่อง โดย กองทุน LTF ของทาง บลจ.ไทยพาณิชย์ที่น่าสนใจ แบ่งเป็น 2 แบบ คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะ ยาวพลัส (SCBLT2) ที่เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ ราคาต่ำกว่ามูลค่า และมีการเติบโต อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุน อยู่ที่ 137.34% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิ.ย. 56)
นอกจากนี้ยังมีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว เอ็มเอไอ (SCBLT3) ที่เน้นการลงทุนในหุ้นที่มี การเติบโตสูง ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนที่ดีมากในช่วงเวลาที่ตลาดปรับตัวขึ้น แต่จะมีความผันผวนของราคาอยู่พอสมควรในช่วงของการทยอยสะสม โดยกองทุนดังกล่าวมีผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุน อยู่ที่ 145% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิ.ย. 56)
พร้อมกันนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ยังได้มีการจ่ายเงินปันผลสำหรับกองทุนรวม LTF สำหรับผลการดำเนิน งานระหว่างวันที่ 1 ก.ค. 2555 - 25 มิ.ย. 2556 จำนวน 2 กองทุน คือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว ปันผล 70/30 (SCBLT1) ในอัตรา 0.1200 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว ทาร์เก็ต (SCBLTT) ในอัตรา 0.1400 บาทต่อหน่วย โดยจ่ายให้ผู้ถือหน่วยไปแล้วเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2556 ที่ผ่านมาด้วย