นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL หนึ่งในผู้นำผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2556) ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 389.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127.68 ล้านบาท คิดเป็น 48.69% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 262.22 ล้านบาท โดยรายได้ดอกผลเช่าซื้อเพิ่มขึ้นจาก 220.11 ล้านบาท เป็น 331.01 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 50.38% ขณะที่รายได้อื่น เพิ่มขึ้นจาก 42.11 ล้านบาท เป็น 58.88 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 39.82% โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 45.66 ล้านบาท ลดลง 56.92% จากช่วงเดียวกันของปี 2555 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 105.98 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน (มกราคม-กันยายน 2556) บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,080.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 394.24 ล้านบาท คิดเป็น 57.49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2555 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 685.78 ล้านบาท โดยรายได้ดอกผลเช่าซื้อเพิ่มขึ้นจาก 594.21 ล้านบาท เป็น 908.69 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 52.92% ส่วนรายได้อื่น เพิ่มจาก 91.57 ล้านบาท เป็น 171.33 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 87.10% ขณะที่ในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 227.13 ล้านบาท ลดลง 9.32% จากปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 250.48 ล้านบาท
ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GL กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ของบริษัทฯ นับเป็นจุดต่ำสุดแล้ว และหลังจากนี้เมื่อผ่านพ้นจากจุดต่ำสุดไป ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่กำไรสุทธิทั้งในไตรมาสที่ 3 และงวด 9 เดือนลดลง เป็นผลจากการที่บริษัทฯ ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองมีความไม่แน่นอน รวมถึงในปีนี้ ประเทศไทยยังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดของประเทศ โดยเฉพาะในเขตภาคกลาง ทำให้ลูกค้าบางส่วนชำระค่างวดล่าช้า ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น และสถานการณ์ทางการเมืองผ่อนคลายไปในทางที่ดีขึ้น ลูกค้าก็จะกลับมาชำระหนี้ตามปกติ และยอดสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ตั้งเผื่อไว้ในรอบระยะบัญชีนี้ ก็จะกลับมารับรู้เป็นกำไรของบริษัทฯ ในรอบระยะบัญชีถัดไป
นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 3 ยังเป็นไตรมาสแรกที่รวมเอาผลประกอบการของบริษัทย่อยในประเทศกัมพูชาเข้ามารวมในงบกำไรขาดทุนของงบการเงินรวม ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้กำไรสุทธิของบริษัทฯ ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว ธุรกิจในประเทศกัมพูชาอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งกิจการ แต่หลังจากที่ธุรกิจเริ่มดำเนินการได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในขณะนี้ได้ผ่านจุดคุ้มทุนไปแล้ว ก็เชื่อว่าหลังจากนี้ ธุรกิจในกัมพูชาจะสร้างรายได้และส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“เมื่อผ่านพ้นจากไตรมาสที่ 3 ไป ก็ถือว่า GL ได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แม้ว่ากำไรสุทธิจะลดลง แต่ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง จะเห็นว่า รายได้ของเรายังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากจะเป็นรายได้ที่เติบโตจากธุรกิจหลักแล้ว ยังมีรายได้เงินปันผลจาก GLH ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในสิงคโปร์อีกด้วย ทั้งนี้ เราเชื่อว่า การลดลงของกำไร น่าจะเป็นผลที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากธุรกิจในประเทศยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการตั้งสำรองและการขาดทุนจากการจำหน่ายสินทรัพย์รอการขาย แต่ในไม่ช้าหลังจากที่ระบบเข้าสู่ภาวะสมดุล ผลกระทบดังกล่าวก็จะลดลง” นายมิทซึจิกล่าว
ส่วนธุรกิจในต่างประเทศ แม้ว่ารายได้จะยังไม่เพิ่มขึ้นมากนักในไตรมาสนี้ แต่จากการขยายสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสิ้นไตรมาส ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสถัดไป ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ GL เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต