1) ข้อควรคำนึงสำหรับคณะกรรมการบริษัทในการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านกลยุทธ์
2) การเสวนา เรื่อง ความท้าทายและความคาดหวังจากคณะกรรมการบริษัทในการกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงด้านกลยุทธ์
หัวข้อที่ 1: ข้อควรคำนึงสำหรับคณะกรรมการบริษัทในการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านกลยุทธ์
โดย คุณศิระ อินทรกำธรชัย
ประธานกรรมการบริหารและหุ้นส่วนบริษัท PWC ประเทศไทย
คุณศิระได้กล่าวถึงการบริหารความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ว่าไม่เพียงแต่เป็นการจัดการความเสี่ยงที่องค์กรจะต้องเผชิญอันจะทำให้เป้าหมายหลักของกิจการไม่เป็นไปตามต้องการเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการไม่สามารถใช้โอกาส (Opportunities) ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์กับองค์กรด้วย ดังนั้นแล้วคณะกรรมการของบริษัทนอกเหนือจากการกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์แล้ว ยังต้องมีแผนปฏิบัติการเพื่อจัดการความเสี่ยงและประเมินประเภทและระดับความเสี่ยงที่องค์กรจะรับได้
หัวข้อที่ 2: การเสวนา เรื่อง ความท้าทายและความคาดหวังจากคณะกรรมการบริษัทในการกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงด้านกลยุทธ์
โดย คุณระเฑียร ศรีมงคล
รองประธานกรรมการ / ประธานคณะกรรมการตรวจสอบและกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)
คุณอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล
ประธานคณะกรรมการบริหาร / กรรมการ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
คุณครรชิต บุนะจินดา
กรรมการอิสระ และกรรมการบริหารความเสี่ยง
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) และบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)
คุณอรนุช ได้กล่าวสรุปประเภทความเสี่ยงขององค์กร ที่คณะกรรมการสามารถแบ่งเป็นภาพกว้างเพื่อการบริหารจัดการ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่
1) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องทางการเงิน
2) ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา เช่น ในกรณีของบริษัทที่มีวัตถุดิบเป็นสินค้าเกษตร
3) ความเสี่ยงด้าน Credit ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อคู่สัญญา (Counterparty) ไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้
4) ความเสี่ยงจากการดำเนินงาน ซึ่งสามารถแบ่งแยกได้อีก 2 ประเภทย่อย ได้แก่
4.1) ความเสี่ยงจากการดำเนินงานที่ควบคุมได้ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นภายในองค์กร
4.2) ความเสี่ยงจากการดำเนินงานที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งเป็นความเสี่ยงภายนอกของงอค์กร ดังนั้นการรับมือความเสี่ยงประเภทดังกล่าง องค์กรจึงต้องมีการวางแผนเพื่อป้องกัน
คุณระเฑียร ได้กล่าวถึงบทบาทของคณะกรรมการ ว่านอกจากจะต้องวางแผนกลยุทธ์เพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์กรแล้ว จะต้องมีการวางกลยุทธ์เพื่อบริหารความเสี่ยงควบคู่กันไปได้ เช่น ในกรณีของกิจการที่มีวัตถุดิบเป็นสินค้าเกษตร อันจะส่งผลให้ฐานะการเงินของบริษัทมีความไม่แน่นอนสูง การทำ Backward integration ผ่านการควบและซื้อกิจการ จะช่วยลดความเสี่ยงด้านราคาของสินค้าเกษตรได้ แต่การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ กิจการยังจะต้องประเมินความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและฐานะการเงินของกิจการเองก่อนการเข้าซื้อกิจการอื่นเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานด้านบริหารความเสี่ยงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คุณระเฑียรได้เสริมว่าคณะกรรมการยังจะต้องมีการติดตามและประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจมีคณะกรรมการตรวจสอบช่วยสอบทานความเสี่ยงด้านการเงินของกิจการเพิ่มเติม และให้ฝ่ายจัดการรายงานผลกลับไปยังคณะกรรมการอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น
เช่นเดียวกับคุณครรชิต ที่กล่าวว่านอกเหนือจากแผนงานประจำปีที่ฝ่ายจัดการจะต้องทบทวนเป็นประจำทุกปีแล้ว แผนงานดังกล่าวยังจะต้องสอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ขององค์กรในระยะยาวซึ่งรวมถึงการบริหารความเสี่ยงขององค์กรด้วย
สำหรับขั้นตอนการบริหารของความเสี่ยงในองค์กร คุณอรนุชได้ให้ความเห็นว่าทุกคนในองค์กรควรมีส่วนร่วมในเรื่องดังกล่าว โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ (tier) ดังนี้
Tier 1: ฝ่ายจัดการนำไปปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและแนวทางที่องค์กรได้กำหนดไว้
Tier 2: มีการตรวจสอบผลและควบคุมการปฏิบัติงานของฝ่ายจัดการ ว่าเป็นไปตามนโยบายขององค์กรหรือไม่
Tier 3: คณะกรรมการ รวมถึงคณะกรรมการตรวจสอบ ดูแลและประเมินความเสี่ยงที่ได้ดำเนินการไป รวมถึงคาดการณ์ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเพิ่มเติมได้
ทั้งนี้ วิทยากรทั้ง 3 ท่าน ยังได้ฝากข้อคิดเพื่อให้องค์กรสามารถบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ การสร้างวัฒนธรรมขององค์กรลงลึกไปถึงระดับผู้ปฏิบัติงานให้ตระหนัก (Awareness) ถึงความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญจะต้องมีความเข้าใจ (Understanding) ต่อความเสี่ยงนั้นๆ เพื่อสามารถประเมินและวิเคราะห์หาจุดสมดุล (Optimization) การบริหารความเสี่ยง เพื่อไม่ให้การบริหารความเสี่ยงนั้นมีต้นทุนที่สูงจนเกินไป