นายเขมทัศน์ สายเชื้อ รักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปัจจุบันความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวนและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยล่าสุด ประเทศในแอฟริกา ซึ่งพึ่งพาการส่งออกน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก ประสบปัญหาเศรษฐกิจภายในเมื่อราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกตกต่ำ จึงมีรายได้จากการส่งออกลดลง เกิดภาวะขาดแคลนเงินตราสกุลต่างประเทศ เงินสกุลท้องถิ่นอ่อนค่าอย่างหนัก ธนาคารกลางจึงเข้ามาควบคุมการชำระเงินตราสกุลต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการในแอฟริกาผิดนัดชำระและปฏิเสธไม่ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่คู่ค้า ส่งผลให้คู่ค้าได้รับผลกระทบ รวมทั้งผู้ส่งออกไทย โดยไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ให้แก่แอฟริกาทั้งโดยทางตรงและผ่านคู่ค้าในต่างประเทศ เช่น ตะวันออกกลาง
รักษาการกรรมการผู้จัดการ เปิดเผยต่อไปว่า จากสัญญาณที่พบ EXIM BANK กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และแนะนำให้ผู้ส่งออกไทยค้าขายอย่างรอบคอบ โดยตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ซื้อในชั้นแรกด้วยบริการประเมินความเสี่ยงผู้ซื้อของ EXIM BANK เพื่อให้ได้ข้อมูลมาประกอบการพิจารณาทำการค้า ก่อนจะเสนอเงื่อนไขการชำระเงินและให้เครดิตทางการค้าแก่ผู้ซื้อ พร้อมทั้งทำประกันการส่งออกทุกครั้ง เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้า อันเนื่องมาจากสาเหตุทางการค้าได้แก่ ผู้ซื้อล้มละลาย ผู้ซื้อปฏิเสธการชำระเงิน ผู้ซื้อปฏิเสธการรับมอบสินค้า และสาเหตุทางการเมืองได้แก่ การควบคุมการโอนเงินและการห้ามนำเข้าสินค้าโดยรัฐบาลประเทศผู้ซื้อ สงคราม จลาจล และปฏิวัติ โดยเฉพาะผู้ส่งออก SMEs ที่มีฐานทุนจำกัด EXIM BANK มีบริการประกันการส่งออกสำหรับผู้ส่งออก SMEs (EXIM 4 SMEs) ที่มีมูลค่าการส่งออกไม่เกิน 200 ล้านบาทต่อปี ค่าเบี้ยประกันถูก ขั้นตอนการอนุมัติรวดเร็ว รวมทั้งมีบริการสินเชื่อ SMEs ส่งออกสบายใจ ให้วงเงินสินเชื่อระยะสั้น พร้อมทางเลือกรับบริการประกันการส่งออกเพิ่ม จะได้รับวงเงินอนุมัติสูงสุดถึง 6 เท่าของหลักประกัน และส่วนลด 50% สำหรับค่าตรวจสอบผู้ซื้อและรายงานวิเคราะห์ผู้ซื้อ
ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2558 (มกราคม-ตุลาคม 2558) มีลูกค้าประกันการส่งออกของ EXIM BANK ยื่นขอรับค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 19 ราย มูลค่ารวม 55.8 ล้านบาท โดยมีสาเหตุจากผู้ซื้อล้มละลาย 8 ราย คิดเป็นมูลค่า 19.2 ล้านบาท และผู้ซื้อไม่ชำระเงินค่าสินค้า 11 ราย คิดเป็นมูลค่า 36.6 ล้านบาท