เศรษฐกิจไทย – 'ครูสคอนโทรล' ในความเร็วระดับปานกลาง

ศุกร์ ๓๐ กันยายน ๒๐๑๖ ๑๙:๒๔
โดย นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย

หากกล่าวในเชิงบริบททางการเมือง ไตรมาส 3/59 อาจจะดูน่าตื่นเต้นสำหรับประเทศไทย แต่หลังจากที่มีการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญไปแล้วเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม และการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้ายังต้องรอไปอีก 5 ไตรมาสข้างหน้า ประเด็นเศรษฐกิจจึงกลับมาเป็นจุดสนใจหลักอีกครั้ง

ในไตรมาส 2/59 จีดีพีเติบโตเกินกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังจากขยายตัวร้อยละ 3.2 ในไตรมาส 1 แต่เมื่อปรับตามฤดูกาลแล้ว อัตราการเติบโตรายไตรมาสชะลอลงเล็กน้อยจากร้อยละ 1.0 เป็นร้อยละ 0.8 โดยการขยายตัวของจีดีพี มี 3 ปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และการท่องเที่ยว (การส่งออกด้านบริการ) การยุติของปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงช่วยคลายความกังวลของเกษตรกร และทำให้รายได้เกษตรกรปรับตัวดีขึ้น และส่งเสริมการใช้จ่ายของผู้บริโภค ขณะเดียวกัน การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 20.5 ในรายไตรมาสเทียบกับปีก่อน (และร้อยละ 20.4 ในรอบครึ่งปีแรกของปี 2559)

อย่างไรก็ตาม เราตระหนักว่าแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยมาจากการส่งออกสุทธิที่เป็นผลมาจากการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของการนำเข้า ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนถึงการลงทุนภาคเอกชน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและการส่งออกที่ซบเซา ข้อมูลเศรษฐกิจช่วงปลายไตรมาส 2 และต้นไตรมาส 3 สะท้อนว่าโมเมนตัมการเติบโตโดยรวมชะลอลง โดยเฉพาะด้านสินเชื่อธุรกิจ คำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรม และการส่งออก ในขณะที่ดัชนีที่เกี่ยวกับผู้บริโภค เช่น การเติบโตของค่าจ้าง และหนี้ครัวเรือน ยังสะท้อนว่าผู้บริโภคน่าจะคงการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังในระยะกลาง

ดังนั้น เราจึงยังคงมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และคงการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2559 และ 2560 ไว้ที่ระดับร้อยละ 2.8 หากเศรษฐกิจไทยเริ่มจะชะลอตัวลงมากกว่าคาด ไม่ว่าจากสาเหตุอะไรก็ตาม เช่น อุปสงค์ในตลาดโลกที่อ่อนแอลง เราคาดว่ามาตรการทางการคลังยังเพียงพอที่จะรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไว้ที่ระดับปานกลางได้

การจัดทำงบประมาณขาดดุลมูลค่า 390 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2560 (หรือคิดเป็นร้อยละ 2.7 ของจีดีพี) ในเชิงกฎหมายรัฐบาลสามารถขาดดุลเพิ่มขึ้นได้อีกเป็นร้อยละ 50 หากมีความจำเป็น นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถเลือกที่จะผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานบางโครงการที่พร้อมและมีขนาดเล็กกว่าให้เดินหน้าก่อนได้ ในช่วงที่โครงการที่มีขนาดใหญ่กว่ายังล่าช้าเนื่องจากติดขัดด้านกฎระเบียบหรือขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง

ในด้านเงินเฟ้อ เราได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปในปี 2559 และ 2560 มาอยู่ที่ร้อยละ 0.3 และร้อยละ 2.0 จากร้อยละ 0.7 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับ จากการลดลงอย่างผิดคาดของภาวะราคาอาหารในไตรมาส 3 เรายังมองว่ามีความเป็นไปได้ที่ธปท.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.25 เหลือร้อยละ 1.25 ในไตรมาส 4/59 เนื่องแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและความเสี่ยงขาลงต่อเศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีอยู่

ประเด็นด้านนโยบาย

ดร. วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เน้นย้ำในการกล่าวสุนทรพจน์เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาพื้นที่การดำเนินมาตรการทางการเงิน หากว่ามีความจำเป็นต้องใช้เพื่อบรรเทาผลกระทบหรือเหตุการณ์เชิงลบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น หากโมเมนตัม ของการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอลง เราคาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปจะเป็นไปอย่างจำกัด

ในขณะเดียวกัน ผู้ว่าธปท.กล่าวว่า ธปท.จะยังคงดูแลไม่ให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินในระดับที่มากเกินไป เพื่อมิให้กลายเป็นปัจจัยถ่วงการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งบ่งชี้ว่าหากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงมากยังคงกดดันค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น ธปท.น่าจะพยายามชะลอการแข็งค่าต่อไปเพื่อทอดเวลาให้ภาคธุรกิจได้ปรับตัว

ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ธปท.สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ด้วยการปรับโครงสร้างทางการเงินของไทยหลายด้าน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การเข้าถึงบริการทางการเงินสามารถทำได้ง่ายขึ้น ส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความเข้าใจด้านการเงิน และลดต้นทุนการทำธุรกรรมทางการเงิน ตัวอย่างเช่น การผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อให้การป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และการเคลื่อนย้ายเงินทุนทำได้คล่องตัวขึ้น สนับสนุนการปรับปรุงฐานข้อมูลของ SME และการบังคับใช้พรบ.หลักประกันทางธุรกิจ (Business Security Act) เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืม และร่วมจัดตั้งระบบโอนเงินรูปแบบใหม่สำหรับลูกค้ารายย่อย

สำหรับนโยบายการคลัง เราคาดว่ายังคงเป็นการดำเนินการแบบสองด้านควบคู่กันไป คือ การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการปฏิรูปในระยะยาว ซึ่งรวมถึง แผนแม่บทการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบคมนาคมขนส่ง แผนเศรษฐกิจดิจิทัล นอกจากนี้ คาดว่าการปรับปรุงด้านกฎระเบียบอื่นๆ เช่น ข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรมเมื่อเร็วๆ นี้ ที่จะขยายระยะเวลาใบอนุญาตการทำงาน และการลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยชาวต่างชาติที่ปฏิบัติงานในโครงการการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนในส่วนนี้

ความเสี่ยง

ภาพรวมการส่งออกยังคงอ่อนแอ และมีโอกาสสูงที่จะกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงรายได้และแนวทางการปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกัน ระยะเวลาของการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ยังคงคาดเดาได้ยาก เช่น รถไฟความเร็วสูง ถึงแม้ว่าเราคาดว่าแนวโน้มการลงทุนภาครัฐโดยรวมจะดีขึ้น และประการสุดท้าย คือ การเติบโตของการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจในช่วงต่อไปเนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแอ จึงต้องให้ความระมัดระวังในประเด็นเรื่องความปลอดภัย หรือเหตุการณ์ทางการเมืองที่อาจจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการท่องเที่ยวได้เสมอ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๐:๕๙ ผู้บริหารเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ร่วมเปิดการแสดงแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติ ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์มรดกโลกของไทย ในงาน International Folklore
๑๐:๓๐ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มจพ. MOU โรงเรียนอนุราชประสิทธิ์ พัฒนาจัดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยี
๑๐:๑๕ Lexar แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ PRO WORKFLOW และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในงาน NAB
๑๐:๔๒ CITE DPU ปูทางสู่ยุคข้อมูลขนาดใหญ่ จัดอบรม CKAN ตอบโจทย์ทุกอุตสาหกรรม
๑๐:๑๖ โมทีฟ ดีเวลลอปเม้นท์ จับมือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ รุกตลาดย่านบางปู กับโครงการ โมติ ทาวน์ (สุขุมวิท - แพรกษา) ทาวน์โฮมสไตล์โมเดิร์น นอร์ดิก เริ่มต้นเพียง 2.69
๑๐:๑๕ CHINA ADMISSION DAY
๑๐:๔๕ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เปิดประมูลสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ครั้งที่ 3/2567 จำนวน 17 อัตรา กรุงเทพมหานคร
๑๐:๔๖ โอซีซี ร่วมส่งมอบความสุขในวันสงกรานต์ ปี 2567
๑๐:๒๗ กรุงเทพโปรดิ๊วส นำระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด หนุนปฏิบัติการ 9 มาตรการของรัฐบาล สู้วิกฤตฝุ่น PM 2.5 บูรณาการคู่ค้าพันธมิตร
๐๙:๔๙ การเคหะแห่งชาติ คิกออฟ กิจกรรม สำนักงานสีเขียว Green office