JMART นำทีม JMT- J -SINGER เผยผลงาน Q3/59 ทำได้ตามเป้า เตรียมแผนปรับเป็นโฮลดิ้ง เปิดเกมรุกการลงทุนในธุรกิจใหม่รองรับการเติบโตในอนาคต

อังคาร ๑๕ พฤศจิกายน ๒๐๑๖ ๑๕:๕๘
JMART Group เผยผลการดำเนินงาน Q3/59 เติบโตโดดเด่น หลังผนึกกำลังบริษัทในเครือ JMT- J -SINGERอย่างจริงจัง โดยธุรกิจมือถือและอุปกรณ์เสริมของ JMART ยังมีการเติบโตดี ธุรกิจบริหารหนี้ของ JMT สามารถซื้อหนี้เข้ามาบริหารและจัดเก็บหนี้ได้ตามเป้า ขณะที่ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าของ J มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว และเตรียมรับรู้รายได้จาก The Jas Urban ศรีนครินทร์ ซึ่งเตรียมเปิดให้บริการปลายปีนี้ และ SINGER ที่เริ่มปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในครั้งใหญ่ให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และตรวจสอบได้ รุกเครือข่ายลูกค้าที่มีอยู่ทั่วประเทศ

"อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา" แม่ทัพใหญ่ เผย นี่เป็นแค่ช่วงเริ่มต้นในการทำงานร่วมกันของบริษัทในเครือ มองอนาคต JMART Group จะมีสินค้าและบริการที่หลากหลาย สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุดในประเทศ แถมเตรียมผันตัวเองเป็น บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเกมรุกการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติมอีก

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART กล่าวถึง ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย งวดประจำไตรมาส 3/2559 งบการเงินรวมมีกำไรสุทธิ 109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 23 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 4.2 สำหรับงบการเงินรวมงวด 9 เดือน ปี 2559 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 42 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 4.0 ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทภายในกลุ่มผนึกกำลัง (Synergy) ผลักดันให้ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทยังคงเติบโต

โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและการให้บริการในกลุ่มประจำไตรมาส 3/2559 อยู่ที่ 2,601 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 232 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 10% สาเหตุเกิดจาก รายได้จากการขายสินค้าในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เท่ากับ 2,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลยุทธ์การขายของบริษัทฯ ผ่านหน้าร้าน Jaymart และผ่านช่องทางการจำหน่ายใหม่ที่เป็นผลจากการ Synergy ร่วมกันของกลุ่มบริษัท โดยเฉพาะยอดขายจากพนักงานขายของ SINGER ที่เจาะกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นผลชัดเจน และได้รับการตอบรับที่ดีมาก

ขณะที่ รายได้จากการติดตามหนี้สินและบริการอื่นผ่านบริษัทย่อย JMT เท่ากับ 292 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 71 เนื่องจากบริษัทสามารถจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพได้เพิ่มขึ้น และมีรายได้จากโครงการปล่อยสินเชื่อ J Money ส่วนธุรกิจ รายได้ค่าเช่าผ่านบริษัทย่อย J เท่ากับ 120 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 10 จากโครงการใหม่ The JAS รามอินทรา คอมมูนิตี้มอลล์แห่งที่ 2 ของบริษัทฯ เข้ามาสนับสนุนรายได้เพิ่มขึ้น

"ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2559 ที่ออกมา แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จจากการเริ่มทำ Synergy ร่วมกันของบริษัทในเครือทั้ง JMT, J และ SINGER และจะเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายทั้งในปี 2559 และ ปี 2560 เป็นต้นไป โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 90.16 ซึ่งประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล แล้วหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น JMT อนุมัติการสละสิทธิ์การเพิ่มทุน นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจ จัดตั้งบริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด เพื่อรับโอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 และมีแผนในการปรับโครงสร้าง บริษัทฯ เป็นบริษัทโฮลดิ้งคอมพานี โดยยังคงสถานะเป็นบริษัทมหาชน เพื่อรุกการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาส เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน และลดความเสี่ยงในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยคาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในปี 2560 สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้ JMART Group ได้อย่างมีศักยภาพ" นายอดิศักดิ์ กล่าว

นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT กล่าวถึง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ประจำไตรมาส 3/2559 งบการเงินรวมมีกำไรสุทธิ 51.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 137 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 17 เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจบริหารหนี้เพิ่มขึ้น โดยมีรายได้รวมประจำไตรมาส 3/2559 อยู่ที่ 302.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 121.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 67.3 สาเหตุเกิดจากรายได้การบริการติดตามหนี้สินและบริการอื่นเพิ่มขึ้น 8.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.3 มีรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อเพิ่มขึ้น 48.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.1 เนื่องจากบริษัทฯ สามารถจัดเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อได้มากขึ้น รวมทั้ง มีรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น 64.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 525.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทย่อยของบริษัทฯ มียอดปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับงบการเงินรวมงวด 9 เดือน ปี 2559 มีกำไรสุทธิ 71.4 ล้านบาท ลดลงจากงวด 9 เดือน ปี 2558 ร้อยละ 7.9 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 9.2 สาเหตุหลักมาจากการลงทุนและตั้งสำรองของธุรกิจปล่อยสินเชื่อภายใต้การบริหารงานของบริษัทย่อย JMT PLUS ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนรายได้รวมงวด 9 เดือน ปี 2559 อยู่ที่ 775.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 264.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 51.7 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อ และรายได้ดอกเบี้ย รวมทั้ง รายได้ที่เกี่ยวข้อง

โดยผลงานไตรมาส 3/2559 ที่ออกมาถือว่าเติบโตได้เป็นอย่างดี จากความสำเร็จในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง สามารถจัดเก็บหนี้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีพอร์ตบริหารหนี้อยู่แล้วที่ 97,099 ล้านบาท ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตอย่างโดดเด่นให้แก่ JMT ได้ในอนาคต

นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำไตรมาส 3/2559 มีรายได้ค่าเช่าและบริการ และรายได้อื่นๆ อยู่ที่ 127.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากไตรมาส 3/2558 ร้อยละ 0.2 สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2559 รายได้ค่าเช่าและบริการ และรายได้อื่น เท่ากับ 412.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.5 เป็นผลจากการเปิดศูนย์การค้าใหม่ที่ The Jas รามอินทรา ทั้งนี้ จากการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ของบริษัทฯ ส่งผลให้ไตรมาส 3/2559 มีผลขาดทุน 6.1 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 3/2558 ที่มีผลกำไรสุทธิ 14.9 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินการของบริษัทฯ งวด 9 เดือน ปี 2559 มีกำไรสุทธิ 11.8 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 72.8 จากงวด 9 เดือน ปี 2558 อยู่ที่ 43.5 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 2.9 โดยสาเหตุมาจากต้นทุนค่าเช่าและบริการที่สูงขึ้น รวมทั้ง ค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม มองว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงของการลงทุนในโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างฐานการเติบโตจากผู้เช่าในระยะยาว เป็นผู้นำผู้ประกอบธุรกิจบริหารพื้นที่เช่ารายใหญ่ ภายใต้ชื่อ IT JUNCTION และ The Jas โดยภายในไตรมาส 4/2559 บริษัทฯ มีแผนการเปิดโครงการล่าสุด The Jas Urban ศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นไปตามแผนดำเนินงานที่วางไว้ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ได้เปิดจองให้กับผู้เช่ารายใหญ่และรายย่อยแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ปัจจุบันมียอดจองพื้นที่ไปมากกว่าร้อยละ 97 ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เช่าที่มีศักยภาพสูง และเป็นแบรนด์ที่สามารถดึงดูดลูกค้าในย่านศรีนครินทร์ได้ ภายหลังจากการเปิดดำเนินการโครงการดังกล่าว จะทำให้บริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้ค่าเช่าจากโครงการได้ตามเป้าหมาย

ด้านนางนงลักษณ์ ลักษณะโภคิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 3/2559 มีกำไรสุทธิ 5.1 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.6 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 51.4 ในส่วนของรายได้รวมของบริษัทฯ อยู่ที่ 554.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30.4 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 796.7 ล้านบาท สาเหตุมาจากยอดขายสินค้าหลักเมื่อหักยอดขายสมาร์ทโฟนตามเงื่อนไขสัญญาการฝากขายสินค้ากับ JMART และดอกเบี้ยรับจากการผ่อนชำระของบัญชีเช่าซื้อปรับตัวลดลง ขณะที่รายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้น

ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 86.40 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24.2 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 114.0 ล้านบาท และมีรายได้รวม 2,001.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24.5 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,652.6 ล้านบาท โดยสัดส่วนการขายสินค้าระหว่างเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือนและสินค้าเชิงพาณิชย์ตลอดจนสมาร์ทโฟนในระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วน 47%, 37% และ 16% ตามลำดับ อันเป็นผลมาจากนโยบายของบริษัทฯ ที่มีการกำหนดเกณฑ์อนุมัติเครดิตสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น

"SINGER ครองความเป็นผู้นำช่องทางค้าปลีกที่มี Sale Network เข้มแข็งที่สุดในประเทศไทย ในปีนี้บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ภายใต้การ Synergy ร่วมกันกับ JMART Group รวมทั้ง ปรับโครงสร้างภายในให้มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และสามารถตรวจสอบได้ แม้จะได้รับผลกระทบจากยอดขายสินค้าหลักที่ปรับตัวลดลงตามสภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว กำลังการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอยในภาคเอกชนลดลง เว้นเพียงแต่กลุ่มสินค้าตู้เติมน้ำมันหยอดเหรียญ จักรเย็บผ้า และพัดลมไอเย็นที่มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นเป็นผลจากโครงการช่วยเหลือประชาชนเศรษฐกิจฐานรากจากภาครัฐ "โครงการประชารัฐ" ที่เริ่มเดินหน้าเข้าถึงหมู่บ้านต่างๆ ในชนบทตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มั่นใจว่า จากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวข้างต้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ชั่วคราวในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงาน จะสนับสนุนให้ในระยะยาว SINGER มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งขึ้น โดยใช้จุดแข็งของ SINGER คือ ระบบ Sale Network ที่เข้มแข็งที่สุดเพื่อรุกตลาด และการมี Brand Royalty อย่างเหนียวแน่น จึงมั่นใจว่า ในปี 2560 SINGER จะมีความพร้อมในทุกด้าน และจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างชัดเจน" นางนงลักษณ์ กล่าว

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๕๔ กทม. เตรียมปรับปรุงพัฒนาระบบการให้บริการงานทะเบียนสำนักงานเขต
๑๗:๑๗ สมาคมเพื่อนชุมชน ส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถ่ายทอดองค์ความรู้ แนวทางลดก๊าซเรือนกระจก
๑๗:๔๑ กทม. เร่งติดตั้งเสา-ตะแกรงรั้วกั้นเกาะกลางถนนวิสุทธิกษัตริย์ที่ถูกรถชนเสียหาย
๑๗:๐๔ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ขอเชิญชวนนักศึกษา และบุคคลทั่วไป เข้าร่วมงาน M-Sci JOB FAIR 2024 หางานที่ใช่ สร้างงาน สร้างโอกาส วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เวลา 13.00-16.00 น. ณ หอประชุม รักตะกนิษฐ
๑๗:๒๘ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำเสนอโซลูชั่นดิจิทัลลุยตลาดอาคารอัจฉริยะเพื่อความยั่งยืน
๑๖:๒๙ จิม ทอมป์สัน เผยทิศทางการพา แบรนด์ผ้าเมืองไทย ผงาดเวทีโลก ส่องกลยุทธ์การครีเอตผลงานคุณภาพให้สอดรับเทรนด์สิ่งทอระดับสากล
๑๖:๓๘ อาดิดาสจับมือนักฟุตบอลระดับตำนาน ส่งแคมเปญ 2006 JOSE 10 สร้างแรงบันดาลใจและความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดให้กับเหล่านักฟุตบอลเยาวชนหญิง
๑๖:๑๐ Maison Berger Paris พาชมเครื่องหอมบ้าน 2 คอลเลคชั่นใหม่ MOLECULE และ JOY จัดเต็มเซ็ตของขวัญ ครบทุกรูปแบบความหอม สร้างบรรยากาศหรูหราพร้อมกลิ่นหอมบริสุทธิ์
๑๖:๕๗ กทม. เตรียมระบบเฝ้าระวัง-ควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 หลังเทศกาลสงกรานต์
๑๕:๑๕ NCC. ผนึก ททท. ขยายตลาดท่องเที่ยวมูลค่าสูง ชี้ตลาดท่องเที่ยวเฉพาะทาง (Niche Market) โต ลุยจัดงาน Thailand Golf Dive Expo plus OUTDOOR Fest