นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บจ. ใน mai จำนวน 128 บริษัท (จาก 132 บริษัท ไม่รวมบริษัทที่ยังไม่ส่งงบการเงินและบริษัทที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนหรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุด 30 กันยายน 2559 พบว่า บจ. มีกำไรสุทธิจำนวน 86 บริษัท คิดเป็น 67% ของบริษัทที่ส่งงบการเงินทั้งหมด โดย บจ. mai มียอดขายรวม 34,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิรวม 1,954 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.51%
"ไตรมาส 3 ปีนี้ 7 ใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรมของ mai มียอดขายรวมเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับการเริ่มฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ อีกทั้ง บจ. มีการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร โดยอัตรากำไรขั้นต้นของ บจ. mai เพิ่มขึ้นจาก24.29% เป็น 24.51% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 4.57% เป็น 5.68% ทั้งนี้ พบ 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตทั้งยอดขายและกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเงิน บริการ สินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภค ตามลำดับ ด้านโครงสร้างเงินทุน อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ณ สิ้นไตรมาส 3/2559 เพิ่มขึ้นจาก 0.99 เท่า ในไตรมาส 3/2558 มาอยู่ที่ 1.10 เท่า เนื่องจากหลาย บจ. มีการลงทุนเพิ่มขึ้น" นายประพันธ์กล่าว
ทั้งนี้ 5 บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุดในไตรมาส 3 ได้แก่ บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มีกำไรสุทธิ 718 ล้านบาท บมจ. บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) 281ล้านบาท บมจ. ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส (FSMART) 104 ล้านบาท บมจ. ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) 104 ล้านบาท และ บมจ. แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) 70 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน บจ. ใน mai มีการเติบโตทั้งยอดขายและกำไรสุทธิรวม โดยยอดขายรวม 100,581 ล้านบาท เพิ่มขึ้น2.82% กำไรสุทธิรวม 6,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.05%
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 132 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2559) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 577.51 จุด เพิ่มขึ้น 10.50% จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 381,063 ล้านบาท อัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 58.38 เท่า มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 2,177 ล้านบาทต่อวัน
"ทศวรรษที่ 5 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อคนไทยเข้าถึงการลงทุนที่มั่งคั่งยั่งยืน"