สำหรับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส ถือเป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นมาอย่างต่อเนื่องโดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อเดือนธันวาคม 2555 ได้จ่ายเงินปันผลไปแล้วถึง 1.047 บาทต่อหน่วย โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 11.36% และตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 10.34% (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2559) ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวมีลงทุนในหน่วยลงทุน SPDR S&P 500 ETF Trust ที่บริหารจัดการโดย State Street Global Advisors ซึ่งเป็นกองทุนที่มีการบริหารจัดการแบบ passive โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90
ขณะที่กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นตลาดเกิดใหม่ (SCBEMEQ) มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 12.44% และตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 9.49% (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2559) ซึ่งลงทุนในหน่วยลงทุน Schroder ISF QEP Global Emerging Markets เป็นกองทุนที่บริหารจัดการโดย Schroder Investment Management (Luxembourg) S.A. ที่ลงทุนในตราสารทุนและหลักทรัพย์ที่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนี MSCI Emerging Markets Net TR และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ บิลเลียนแนร์ (SCBBLN) มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 5.77 % และตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 3.89% (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2559) ลงทุนในหุ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี iBillionaire Index และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90
นายสมิทธ์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมาเผชิญกับความผันผวนจากความไม่แน่นอนในมุมมองดอกเบี้ยนโยบายธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา และประเด็นความไม่แน่นอนเรื่องการเมือง อย่างไรก็ดี การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นสหรัฐฯจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้มีการประกาศไว้ ทางด้านตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากการชนะการเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯในเดือนธันวาคม ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยรวมในปี 2560 มีแนวโน้มที่ดีกว่าตราสารหนี้เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำมานานและกำลังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง