กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า การเปิดฉากสงครามการค้าจากสหรัฐฯ ยังเป็นประเด็นที่สร้างความผันผวนให้กับตลาด ยิ่งไปกว่านั้น เราให้ความสนใจกับปัจจัยเสี่ยงที่ว่าจีน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ และถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ สูงถึง 1.18 ล้านล้านดอลลาร์ อาจโต้กลับด้วยการขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าสหรัฐฯ มีเป้าหมายหลักที่จีน แต่การค้าโลกซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านห่วงโซ่การผลิตจะทำให้ประเทศอื่นๆ รวมถึงไทยอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านการส่งออกไปจีน อนึ่ง จีนเป็นตลาดส่งออกอันดับต้นๆ ด้วยสัดส่วน 11.4% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ และแม้ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลักเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า แต่หากสถานการณ์ขยายวงไปถึงจุดที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจโลก อาจทำให้สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ รวมถึงเงินบาทอ่อนค่าได้เช่นกัน
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ในการประชุมวันที่ 28 มีนาคม แม้ว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของเฟดทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ สูงกว่าไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี แต่เราเชื่อว่ากนง.ต้องการรักษานโยบายการเงินที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจท่ามกลางเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ส่วนแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เรามองเช่นเดิมว่ามีโอกาสที่จะปรับขึ้นหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ดี หากในระยะถัดไปแรงส่งเชิงบวกจากการค้าโลกซึ่งช่วงที่ผ่านมานั้นอยู่ในทิศทางสดใสต่อเนื่องและสนับสนุนการเติบโตของภาคส่งออกไทยมีเหตุต้องสะดุดลง ผู้ดำเนินนโยบายจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการพิจารณาปรับสมดุลนโยบายการเงิน