จับตาเทรนด์ความยั่งยืนที่น่าสนใจ ปี 2561

จันทร์ ๒๖ มีนาคม ๒๐๑๘ ๑๑:๐๘
โดย พัทธ์ธีรา วงศราวิทย์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

กุมภาพันธ์ 2561

ปี 2560 ที่ผ่านมาเป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ทื่ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงผลกระทบที่มีต่อธุรกิจในอนาคต รวมถึง ปัญหา Climate Change ที่ยังเป็นประเด็นด้านความยั่งยืนที่ผู้บริโภคและผู้ลงทุนยังคงให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง จากการเปลี่ยนแปลงและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ ในปี 2561 นี้ ทำให้ธุรกิจยังคงเผชิญความท้าทายที่หลากหลายทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเทคโนโลยี

1. ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมยิ่งทวีความรุนแรง

ในรอบปีที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกเผชิญกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมากขึ้น เช่น สภาพอากาศแบบสุดขั้ว (Extreme Weather) อุณหภูมิที่สูงขึ้นจนเป็นประวัติการณ์ การเสื่อมโทรมของทรัพยากร มลภาวะ และระบบนิเวศเสียสมดุลจนทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจากรายงาน Global Risk Landscape 2018 ที่จัดทำโดย World Economic Forum เปิดเผยว่าความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมเป็นความเสี่ยงที่มีผลกระทบ (Impact) และโอกาสที่จะเกิด (Likelihood) อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย และเป็นความเสี่ยงที่อยู่ใน 5 ลำดับแรกของความเสี่ยงสำคัญทั้งในมุมของผลกระทบและโอกาสที่จะเกิด ซึ่งความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมนี้ ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจในหลายมิติ เช่น

สีเขียว : ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

สีส้ม : ความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์การเมือง

สีม่วง : ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี

สีแดง : ความเสี่ยงด้านสังคม

จากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มีผลทำให้อากาศร้อนจัดเพิ่มมากขึ้น เกิดความแห้งแล้ง และน้ำท่วม ทำให้ผลิตผลทางการเกษตรลดลง เกิดการขาดแคลนปัจจัยการผลิต ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำปริมาณมากในกระบวนการ อาจประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ หรือเผชิญความยากลำบากในการจัดสรรทรัพยากรน้ำที่มีจำกัด รวมถึงอาจทำให้เกิดการแย่งใช้น้ำระหว่างชุมชนกับภาคอุตสาหกรรม

การผลิตในภาคอุตสาหกรรมมีส่วนทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะถูกกดดันโดยภาครัฐและภาคสังคมให้มีการควบคุมดูแลกระบวนการผลิตอย่างเข้มงวดมากขึ้น หรือต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมตามหลักการ polluter pays principle ซึ่งหมายถึงการที่ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการลดหรือบำบัดมลพิษที่ตนเองเป็นผู้ก่อขึ้น

ในมุมมองจากผู้ลงทุนเองก็ให้ความสำคัญกับการลงทุนโดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ Climate Change ซึ่งจากการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจและผลกระทบจาก Climate Change ทำให้ผู้ลงทุนตื่นตัวและตระหนักถึงบทบาทในการกระตุ้นองค์กรภาคธุรกิจและบริษัทจดทะเบียนให้คำนึงถึงความเสี่ยงและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา Climate Change เพิ่มมากขึ้น

2. เมื่อความเหลื่อมล้ำกลายเป็นความเสี่ยงของธุรกิจ

Global Wealth Report 2017 ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยของ Credit Suisse เปิดเผยว่าแนวโน้มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจยังคงเพิ่มสูงขึ้นหลังวิกฤติทางการเงินปี 2551 และประเทศไทยเองก็ถูกระบุว่ามีปัญหาความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก รองจากรัสเซีย และอินเดีย เมื่อปี 2559

ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสภาวะการแบ่งแยกของผู้คนในสังคม (Social polarization) และการขาดความไว้เนื้อเชื่อใจในสังคม (Lack of social trust) ธุรกิจขนาดใหญ่ถูกมองว่าเป็นกลไกทำให้เกิดช่องว่างทางเศรษฐกิจและการเอารัดเอาเปรียบ ขณะที่สภาพแวดล้อมที่สังคมมีความไว้เนื้อเชื่อใจต่ำก็ทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและด้านการกำกับดูแลจากหน่วยงานทางการเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนอาจกระทบต่อผลประกอบการของธุรกิจในระยะยาว ดังนั้นความเหลื่อมล้ำจึงไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสังคมที่อยู่ไกลตัวอีกต่อไป แต่กลายเป็นความเสี่ยงต่อภาคธุรกิจได้เช่นเดียวกัน

ในสภาพแวดล้อมที่สังคมมีการแบ่งแยกและขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ ภาคธุรกิจไม่สามารถมุ่งแต่แสวงหาผลกำไรได้เพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียโดยรอบและความอยู่รอดของผู้คนในสังคมได้อีกต่อไป แต่ภาคธุรกิจจำเป็นต้องทำความเข้าใจความคาดหวังของสังคมที่มีต่อองค์กรให้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันธุรกิจต้องสร้างความเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจ และสังคม โดยนำความต้องการหรือความคาดหวังของผู้คนในสังคมมาบูรณาการเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายขององค์กร รวมถึงยังคงดูแลและสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนโดยรอบอย่างต่อเนื่อง

3. เทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญสำหรับธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่มีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดความตื่นตัวของภาคธุรกิจทั่วโลกว่าปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และระบบหุ่นยนต์ (Robotics) จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบการผลิตในปัจจุบันมากน้อยเพียงใด

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ถูกพัฒนาให้มีความสามารถในการเก็บและบริหารจัดการข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาลและมีความซับซ้อน เพื่อช่วยในการวิเคราะห์เทรนด์ความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภค ซึ่งช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น ขณะที่ระบบหุ่นยนต์ (Robotics) ถูกพัฒนาให้สามารถทำงานที่มีความเสี่ยงสูงหรืองานที่อาจเกิดอันตรายต่อมนุษย์ได้ รวมถึงระยะเวลาในการทำงานของหุ่นยนต์มีความรวดเร็วและแม่นยำมากกว่า ในแง่มุมนี้อาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เกิดการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในแข่งขันของธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างมากนี้ ถูกมองว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในตลาดแรงงาน และระบบการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กร งานวิจัยจาก McKinsey Global Institute เมื่อปี 2017 เปิดเผยว่าใน 60% ของ 800 อาชีพในตลาดแรงงาน มีงานหรือกิจกรรมอย่างน้อย 30% ที่สามารถใช้ระบบอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่การใช้แรงงานมนุษย์ได้ ดังนั้นการพัฒนาของเทคโนโลยีจึงอาจทำให้เกิดการเลิกจ้าง และคนว่างงานในปริมาณมหาศาล จึงเกิดคำถามว่าภาคธุรกิจจะมีกลยุทธ์อย่างไรในการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อธุรกิจไปพร้อมกับที่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของบุคลากรของบริษัท และไม่สร้างภาระให้กับสังคม

เทรนด์ความยั่งยืนทั้งสามประเด็นนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง และเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ แต่ในทางตรงข้าม ธุรกิจที่สามารถ "แสวงหาโอกาส" จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้และลงมือปฏิบัติก่อน ก็ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่าเช่นกัน

ข้อมูลอ้างอิง

- http://publications.credit-suisse.com/tasks/render/file/index.cfm?fileid=12DFFD63-07D1-EC63-

A3D5F67356880EF3

-http://publications.credit-suisse.com/tasks/render/file/index.cfm?fileid=AD6F2B43-B17B-345EE20A1A254A3E24A5

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๕๔ กทม. เตรียมปรับปรุงพัฒนาระบบการให้บริการงานทะเบียนสำนักงานเขต
๑๗:๑๗ สมาคมเพื่อนชุมชน ส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถ่ายทอดองค์ความรู้ แนวทางลดก๊าซเรือนกระจก
๑๗:๔๑ กทม. เร่งติดตั้งเสา-ตะแกรงรั้วกั้นเกาะกลางถนนวิสุทธิกษัตริย์ที่ถูกรถชนเสียหาย
๑๗:๐๔ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ขอเชิญชวนนักศึกษา และบุคคลทั่วไป เข้าร่วมงาน M-Sci JOB FAIR 2024 หางานที่ใช่ สร้างงาน สร้างโอกาส วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เวลา 13.00-16.00 น. ณ หอประชุม รักตะกนิษฐ
๑๗:๒๘ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำเสนอโซลูชั่นดิจิทัลลุยตลาดอาคารอัจฉริยะเพื่อความยั่งยืน
๑๖:๒๙ จิม ทอมป์สัน เผยทิศทางการพา แบรนด์ผ้าเมืองไทย ผงาดเวทีโลก ส่องกลยุทธ์การครีเอตผลงานคุณภาพให้สอดรับเทรนด์สิ่งทอระดับสากล
๑๖:๓๘ อาดิดาสจับมือนักฟุตบอลระดับตำนาน ส่งแคมเปญ 2006 JOSE 10 สร้างแรงบันดาลใจและความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดให้กับเหล่านักฟุตบอลเยาวชนหญิง
๑๖:๑๐ Maison Berger Paris พาชมเครื่องหอมบ้าน 2 คอลเลคชั่นใหม่ MOLECULE และ JOY จัดเต็มเซ็ตของขวัญ ครบทุกรูปแบบความหอม สร้างบรรยากาศหรูหราพร้อมกลิ่นหอมบริสุทธิ์
๑๖:๕๗ กทม. เตรียมระบบเฝ้าระวัง-ควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 หลังเทศกาลสงกรานต์
๑๕:๑๕ NCC. ผนึก ททท. ขยายตลาดท่องเที่ยวมูลค่าสูง ชี้ตลาดท่องเที่ยวเฉพาะทาง (Niche Market) โต ลุยจัดงาน Thailand Golf Dive Expo plus OUTDOOR Fest