กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรีมองว่า ปัจจัยชี้นำสำคัญอยู่ที่การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ หากอัตราผลตอบแทนระยะ 10 ปี สามารถปรับขึ้นต่อและยืนเหนือระดับ 3.00% ได้ เงินดอลลาร์จะแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งจะแตกต่างจากช่วงต้นปีนี้ที่อัตราผลตอบแทนระยะ 2 ปีปรับตัวขึ้นเร็วกว่าระยะยาว และค่าเงินดอลลาร์ขาดแรงหนุนเนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าเส้นอัตราผลตอบแทนที่แบนราบ (Flatten) สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะถัดไป ในขณะเดียวกัน ตลาดยังให้ความสนใจกับราคาน้ำมันดิบ ซึ่งซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี หลังข้อตกลงลดการผลิตที่นำโดยกลุ่มโอเปก ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันส่วนเกินทยอยปรับลดลง ซึ่งมีส่วนผลักดันการคาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การประชุมนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) อาจเพิ่มความผันผวนต่อตลาดการเงินทั่วโลกช่วงท้ายสัปดาห์ได้เช่นกัน
สำหรับปัจจัยในประเทศ ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์รายงานข้อมูลการค้าเดือนมีนาคม โดยระบุว่ามูลค่าส่งออกของไทยเติบโต 7.06% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนยอดนำเข้าขยายตัว 9.47% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 1.27 พันล้านดอลลาร์ แม้ว่าตัวเลขส่งออกและนำเข้าจะต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้เล็กน้อยและเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงจากเดือนกุมภาพันธ์ แต่บางส่วนอาจสะท้อนฐานการเปรียบเทียบที่สูงขึ้น โดยเรายังคงประเมินว่าในภาพรวมแรงส่งเชิงบวกน่าจะดำเนินต่อไป ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2561 มูลค่าส่งออกเติบโต 11.29% ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ สถานการณ์การค้าโลก เนื่องจากไทยอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของโลกและอาจจะได้รับผลกระทบ หากทิศทางการค้าโลกที่ขยายตัวอย่างสดใสตั้งแต่ปี 2560 มีเหตุต้องสะดุดลง