ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. บี.กริม บีไอพี เพาเวอร์ 1” ที่ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

พุธ ๒๕ เมษายน ๒๐๑๘ ๑๒:๕๕
ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บี. กริม บีไอพี เพาเวอร์ 1 จำกัด ที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมทั้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 3,350 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้โครงการของบริษัท

อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนที่บริษัทได้รับจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) และผลงานที่ได้รับการยอมรับของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทคือ บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ในการบริหารโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซพลังความร้อนร่วม (Combined-cycle Gas Turbine) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดบางส่วนจากความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีโรงไฟฟ้าเพียงแห่งเดียว

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

กระแสเงินสดที่แน่นอนจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว

บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จำนวน 90 เมกะวัตต์ ระยะเวลา 25 ปีภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กและมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับลูกค้าอุตสาหกรรมจำนวน 14 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. ช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะด้านการตลาดเนื่องจาก กฟผ. ตกลงรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำจำนวน 80% ของกำลังการผลิตตามสัญญาซึ่งคำนวณจากจำนวนชั่วโมงที่สามารถดำเนินงานได้ นอกจากนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้ายังมีกลไกในการส่งผ่านภาระค่าก๊าซอีกด้วย สำหรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับลูกค้าอุตสาหกรรมนั้นยังมีการกำหนดปริมาณการรับซื้อขั้นต่ำด้วยโดยอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับลูกค้าอุตสาหกรรมจะอิงกับอัตราค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่เรียกเก็บจากกิจการขนาดใหญ่ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงผ่านค่าใช้จ่ายที่แปรผันในการผลิตไฟฟ้าหรือค่า Ft นอกจากนี้ บริษัทยังมีสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ระยะเวลา 25 ปี ซึ่งเท่ากับอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. อีกด้วย

บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าในปริมาณราว 600-700 ล้านหน่วยต่อปี โดยจำหน่ายให้ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 91% ของปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายทั้งหมด นอกจากนี้ ยังจำหน่ายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 7% และส่วนที่เหลือจำหน่ายให้แก่ บริษัท บี. กริม บีไอพี เพาเวอร์ 2 จำกัด เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าของกลุ่มด้วย

ความเชี่ยวชาญของกลุ่ม บี. กริม เพาเวอร์ ในการบริหารโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม

บริษัทมีทีมบุคลากรของตนเองในการดำเนินงานโรงไฟฟ้าและซ่อมบำรุงรักษาประจำวันซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากกลุ่ม บี. กริม เพาเวอร์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงนามในสัญญาซ่อมบำรุงกังหันก๊าซระยะยาวกับ IHI Corporation (IHI) เป็นระยะเวลา 8 ปีอีกด้วย โดยสัญญาดังกล่าวมีทางเลือกให้สามารถต่ออายุสัญญาออกไปได้อีกซึ่งขึ้นอยู่กับความตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทและ IHI ซึ่งสัญญาดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงจากการดำเนินงานและควบคุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง

นับตั้งแต่เริ่มดำเนินงานเมื่อเดือนเมษายน 2558 เป็นต้นมา บริษัทมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ทั้งนี้ บริษัทมีดัชนีความพร้อมที่ระดับ 97.3% ในปี 2558 ระดับ 85.2% ในปี 2559 และระดับ 97.2% ในปี 2560 โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. อนุญาตให้โรงไฟฟ้าสามารถหยุดซ่อมบำรุงได้ปีละไม่เกิน 840 ชั่วโมงหรือคิดเป็นดัชนีความพร้อมที่ระดับ 90.4% สำหรับปีปกติและ 1,080 ชั่วโมงหรือคิดเป็นดัชนีความพร้อมที่ระดับ 87.7% ในปีที่มีการซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ (Major Overhaul) อย่างไรก็ตาม ดัชนีความพร้อมที่ระดับ 85.2% ในปี 2559 ถือว่าเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาเนื่องจากเป็นการหยุดซ่อมนอกแผนงานซึ่งเป็นผลจากความบกพร่องในการผลิตที่เกิดกับกังหันไอน้ำ ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้วโดยทีมซ่อมบำรุงของบริษัทและผู้ผลิตเครื่องจักร อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากปัญหาดังกล่าวเนื่องจากผู้ผลิตเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมทั้งหมดและบริษัทก็ได้รับเงินชดเชยจากการทำประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก

โรงไฟฟ้าของบริษัทมีอัตราความร้อน (Heat Rate) อยู่ที่ประมาณ 7,740-7,810 บีทียูต่อหน่วยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งดีกว่าอัตราความร้อนอ้างอิงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ที่ 8,000 บีทียูต่อหน่วย ส่วนในด้านของประสิทธิภาพการใช้พลังงานนั้น โรงไฟฟ้าของบริษัทสามารถบรรลุดัชนีชี้วัดความสามารถในการใช้พลังงานปฐมภูมิในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วมกัน (Primary Energy Saving -- PES) ซึ่งทำให้ได้รับค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมจากค่าการประหยัดการใช้เชื้อเพลิง (Fuel Saving -- FS) ในอัตรา 0.36 บาทต่อหน่วยจาก กฟผ. อีกด้วย

บริษัทใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วสำหรับโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซพลังงานความร้อนร่วม

โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมของบริษัทใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว โดยกังหันก๊าซ GE LM 6000PD จำนวนมากกว่า 1,000 ชุดที่ใช้งานในโรงไฟฟ้ามาแล้วมากกว่า 2 ล้านชั่วโมงการทำงานนั้นเป็นที่ยอมรับในด้านประสิทธิภาพเป็นอย่างดี ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าของบริษัทประกอบด้วยหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซจำนวน 2 ชุด ชุดกำเนิดไอน้ำ (Heat Recovery Steam Generator) จำนวน 2 ชุด และหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันไอน้ำซึ่งผลิตโดย Siemens อีกจำนวน 1 ชุด

รายได้ที่มั่นคงจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม

ในปี 2560 บริษัทมีรายได้ 2,026 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,823 ล้านบาทในปี 2559 รายได้ที่เพิ่มขึ้น 11% นั้นเป็นผลมาจากการที่โรงไฟฟ้าสามารถดำเนินงานได้อย่างเต็มที่ในปี 2560 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2560 เท่ากับ 599 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 456 ล้านบาทในปี 2559 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีรายได้เงินชดเชยจากประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักจำนวน 58 ล้านบาท โดยในอีก 3 ปีข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณปีละ 2,200 ล้านบาทและจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายประมาณปีละ 500-600 ล้านบาท

โครงสร้างเงินทุนที่ยอมรับได้

ณ สิ้นปี 2560 บริษัทมีหนี้สินรวม 3,312 ล้านบาทและมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ 70% ในอีก 3 ปีข้างหน้าคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 65% และประมาณการอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 6 เท่า

สภาพคล่องและความเพียงพอของกระแสเงินสดเป็นที่น่าพอใจ

สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยบริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 655 ล้านบาท ณ สิ้นสุดปี 2560 และจะมีภาระต้องชำระคืนหนี้เงินกู้ประมาณปีละ 100-200 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงสามารถดำเนินงานโรงไฟฟ้าได้อย่างราบรื่นและจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ราว ๆ 500-600 ล้านบาทต่อปี

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

ปัจจัยที่จะมีผลในเชิงบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัทยังค่อนข้างมีจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ส่วนปัจจัยที่จะมีผลในเชิงลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้แก่กรณีที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัท

บริษัท บี. กริม บีไอพี เพาเวอร์ 1 จำกัด (BIP1)

อันดับเครดิตองค์กร: A-

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 3,350 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 15 ปี A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๒:๓๖ โรงพยาบาลพระรามเก้า คว้ารางวัล Digital Transformation Initiative of the Year 2024 จากเวที Healthcare Asia Awards
๑๒:๐๐ กลับมาอีกครั้งกับงานช้อปอย่างมีสไตล์ รายได้เพื่อชุมชน ครั้งที่ 14 เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ ชวนมาช้อป ชม ของดี ของเด็ดประจำจังหวัดปทุมธานี ระหว่าง 4 - 10
๑๒:๓๙ เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ สนับสนุนพื้นที่ กรมพลศึกษา จัดแข่งขันกีฬากระบี่กระบองระหว่างโรงเรียน กิจกรรมสร้างสรรค์เสริมทักษะเยาวชน ส่งเสริม SOFT POWER
๑๑:๑๕ TOA ย้ำแชมป์สีเบอร์หนึ่ง คว้า 2 รางวัลใหญ่ 'สุดยอดองค์กร และแบรนด์สีที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นมากที่สุด' 13 ปีซ้อน Thailand's Most Admired Company Brand ปี
๑๑:๔๒ ไทยพีบีเอสยกระดับรู้เท่าทันภัยออนไลน์ ผนึกกำลัง 8 หน่วยงาน ป้องกัน-กวาดล้างอาชญากรรมไซเบอร์
๑๑:๕๘ ศิษย์เก่าวิศวฯ SPU กว่า 5 ทศวรรษ ร่วมย้อนวันวานในงาน วิศวฯ คืนถิ่น SEAN HOMECOMING 2024
๑๑:๑๓ เฮงลิสซิ่ง ร่วมสืบสานประเพณีท้องถิ่น ฉลองวันแห่งชัยชนะท้าวสุรนารี ประจำปี 2567
๑๑:๔๕ YouTrip สาดความคุ้มต้อนรับสงกรานต์กับ 2 โปรพิเศษ 4.4 Travel Sale และ Japan Mega Cashback รับส่วนลดสุดคุ้มจากแบรนด์ท่องเที่ยวดัง และเงินคืนสูงสุด 2,000
๑๑:๕๒ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.รามคำแหง เชิญเข้าร่วมงานสัมมนาวิชา อนาคตเศรษฐกิจไทย: ยืดหยุ่นและยั่งยืน
๑๑:๑๐ เจแอลแอล ประเทศไทย เผยเทรนด์ ESG ของปี 2567 และเป้าหมายสู่อุตสาหกรรมสีเขียวของวงการอสังหาฯ