วสท. ครบรอบ 75 ปี จัดเสวนา เรื่อง “ทำอย่างไร EEC จะสนองตอบเศรษฐกิจ และสังคมได้คุ้มค่ายั่งยืนที่สุด”

พฤหัส ๐๓ พฤษภาคม ๒๐๑๘ ๑๗:๐๕
เนื่องในโอกาสประชุมใหญ่สามัญประจำปี และวาระวสท.ครบรอบ 75 ปี วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วสท.เผยนโยบายหลัก และแผนดำเนินงานปี 2561 จัดเสวนาเรื่อง "ทำอย่างไร EEC จะสนองตอบเศรษฐกิจ และสังคมได้คุ้มค่ายั่งยืนที่สุด" เผยมุมมอง อีอีซี จาก 3 ผู้เสวนา นายเจริญชัย ประเทืองสุขศรี ประธานคณะทำงานโครงการลงทุน โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก, นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สนง.คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน, และ นายจุลเทพ จิตะสมบัติวิศวกรอำนวยการศูนย์โครงการปรับปรุงทางการรถไฟแห่งประเทศไทย

ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวว่าในวาระครบรอบ 75 ปี วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ฯ เรายึดมั่นในวิสัยทัศน์ในการเป็นองค์กรเสาหลักด้านวิศวกรรมของประเทศอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิก 20,587 ราย สำหรับปี 2561 นี้เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาไปข้างหน้าให้รองรับเทคโนโลยี การค้าและโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเตรียมความพร้อมไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 เมื่อเร็วๆนี้วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ได้รับการจดทะเบียนเป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานประเภทขั้นสูงในหลายสาขา ได้แก่ สาขาเทคนิคการก่อสร้างอาคาร, สาขาผลิตภัณฑ์คอนกรีต, สาขาไฟฟ้าและสายไฟฟ้ากำลัง, สาขาระบบขับเคลื่อนขับหมุนและเบรกยานยนต์, สาขามลพิษ เสียง และพลังงานยานยนต์, สาขาหม้อน้ำและภาชนะรับความดัน, สาขาระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม, สาขาระบบการจัดการความเสี่ยง อาชีวอนามัยและความปลอดภัย

ส่วนแผนดำเนินงานในปี 2561 ของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ มีดังนี้ 1.ทบทวนมาตรฐานทางวิศวกรรมที่ใช้ในประเทศไทยให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี การค้าและโลกที่เปลี่ยนแปลงไป 2.ส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพวิศวกรรม คู่มือ ตำรา จัดทำวารสารทางวิชาการในระดับนานาชาติเพื่อเผยแพร่ศักยภาพวิศวกรไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับอาเซียน รวมทั้งพัฒนาวิศวกรรมสารให้เป็นแหล่งความรู้ของวิศวกรไทยแก่วิศวกรทุกสาขา ให้มีศักยภาพในระดับสากล และส่งเสริมการพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จะจัดการอบรมให้ครอบคลุมระดับงานช่าง 3.เป็นศูนย์รวมวิชาการและวิชาชีพที่ทันสมัย และจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้แก่สาชิกและบุคคลากรภาครัฐและภาคเอกชน จำนวนปีละกว่า 300 หลักสูตร เพื่อพัฒนาบุคลากร เทคโนโลยีทางวิศวกรรมของประเทศ 4. การให้บริการแก่สาชิกและประชาชน ให้คำปรึกษาช่วยเหลือด้านวิชาการและวิชาชีพแก่ประชาชน เช่น กิจกรรม "คลินิกช่าง" , การวิเคราะห์ให้ความรู้ประชาชน ผ่านสื่อมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์ 5.ส่งเสริมความร่วมมือกับองค์กรต่างๆทั้งในและต่างประเทศ ขยายเครือข่ายทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สมาคมวิชาชีพและพันธมิตร รวมทั้งส่วนราชการ และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น รวมทั้งการจัดทำกิจกรรมร่วมกันทั้งระดับกรรมการและเจ้าหน้าที 6.กิจกรรมช่วยเหลือสังคม เมื่อเกิดอุบัติภัย กลุ่ม"วิศวกรอาสา" และคณะทำงาน ลงพื้นที่ไปวิเคราะห์เกี่ยวกับอุบัติภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบตามหลักวิศวกรรม ให้ความกระจ่างและแนะนำต่อหน่วยงานและสาธารณชนอย่างถูกต้อง รวมทั้งวิศวกรอาสาประจำสำนักงานในการตอบข้อซักถาม ให้คำปรึกษาผ่านโทรศัพท์และสื่อออนไลน์ และการช่วยเหลือกรณีเกิดเหตุภัยพิบัติ 7. วสท.กำหนดจัดงานวิศวกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2561 ภายใต้ธีม Smart Engineering, Smart Life and Smart Nation ในวันที่ 1-3 พฤศจิกายนนี้ ณ.ฮอลล์ 9 อาคารอิมแพคฟอรั่ม ซึ่งเป็นงานแสดงนิทรรศการ นวัตกรรมทางวิศวกรรมที่โดดเด่น สำหรับกลุ่มเป้าหมายวิศวกร คนทำงาน ครอบครัว และประชาชนทั่วไป 8.สร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่วิชาชีพวิศวกรรมให้มากขึ้นเพื่อสนับสนุนนวัตกรรม การพัฒนาประเทศ และโครงการอีอีซี

ในงานครั้งนี้ได้เปิดเวทีเสวนา เรื่อง เรื่อง "ทำอย่างไร EEC จะสนองตอบเศรษฐกิจ และสังคมได้คุ้มค่ายั่งยืนที่สุด" นายเจริญชัย ประเทืองสุขศรี ประธานคณะทำงานโครงการลงทุน(อีอีซี) กล่าวว่า EEC เป็นแม่เหล็กในการขับเคลื่อนการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายสู่ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 โดยยกระดับพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ให้กลายเป็น "World-Class Economic Zone" รองรับการลงทุนอุตสาหกรรม Super Cluster และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยมีเงินลงทุนใน 5 ปี ข้างหน้าไม่ต่ำกว่า 1.7 ล้านล้านบาท และถ้ามีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ 1.การพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาและพัฒนาเมืองใหม่ ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง 2.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน แบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา),3. โครงการพัฒนาท่าเรือ แหลมฉบัง ระยะที่ 3 และ 4.โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรม มาบตาพุด ระยะที่ 3 รวมทั้งการดึงบริษัทชั้นนำทั่วโลกเข้ามาลงทุนก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยเติบโตเฉลี่ย 5 % ต่อปี

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สนง.คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ซึ่งประกอบด้วย First S-curve ต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 3. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4. การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 5. อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และ New S-curve การเติม 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 2. อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 3. อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 4. อุตสาหกรรมดิจิตอล 5. อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร โดยในปี 2560 คำขอรับการส่งเสริมมีมูลค่า 6 แสนล้านบาท เป็นคำขอการส่งเสริมในพื้นที่ EEC ถึง 46 % หรือ 296,890 ล้านบาท ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา 39,239 ล้านบาท คิดเป็น 13 % จังหวัดชลบุรี 67,876 ล้านบาท คิดเป็น 23% จังหวัดระยอง 189,775 ล้านบาท คิดเป็น 64% คาดว่าปีนี้จะมียอดคำขอส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี ไม่น้อยกว่า 3 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในอีอีซี อันดับ 1 เป็นญี่ปุ่น และมีนักลงทุนจีนเป็นอันดับ 2 ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจแซงหน้าญี่ปุ่น หลังจากอาลีบาบาเข้ามาลงทุน ส่วนนักลงทุนไทยที่เข้ามาลงทุนในอีอีซีขณะนี้มีสัดส่วน 1 ใน 3 ของนักลงทุนทั้งหมด

นายจุลเทพ จิตะสมบัติ วิศวกรอำนวยการศูนย์โครงการปรับปรุงทางการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แนวเส้นทางโครงการ และโครงการไกล้เคียงที่จะรองรับการขนส่งคนและสินค้า ประกอบไปด้วย รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา) เป็นหนึ่งในแผนงานสำคัญด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและโลจิสติกส์ แนวเส้นทางดังกล่าวจะพาดผ่านพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ระยะทางรวมทั้งสิ้น 260 กิโลเมตร รถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 ซึ่งจะเริ่มจาก สถานีอู่ตะเภา ต่อไปยัง ระยอง-จันทบุรี-ตราด รถไฟระยะเร่งด่วน เชื่อมโยง 3 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือสัตหีบ ท่าเรือมาบตาพุด รถไฟระยะกลาง รองรับนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเริ่มจาก ชุมทางศรีราชา-ระยอง-จันทบุรี-ตราด และ รถไฟเชื่อมโยงภูมิภาค

ด้านความคืบหน้าโครงการรถไฟ 1.โครงการรถไฟทางคู่ เชื่อม 3 ท่าเรือ ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียด 2.โครงการรถไฟทางคู่รองรับอุตสาหกรรมปัจจุบัน อยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุมัติงบกลางเพื่อทำผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ 3.โครงการรถไฟทางคู่เชื่อมโยงภูมิภาค จะเริ่มดำเนินการศึกษาความเหมาะสมของโครงการในปี 2563 4.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะที่ 1 (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา ) ปัจจุบัน ครม. อนุมัติแล้ว อยู่ระหว่างคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน จะเริ่มก่อสร้างปี 2562 -2566 รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะที่ 2 ( อู่ตะเภา - ระยอง - จันทบุรี - ตราด) ยังอยู่ระหว่างดำเนินการขออนุมัติงบกลางศึกษาความเหมาะสมของโครงการ และสำรวจออกแบบรายละเอียดโครงการ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๒:๑๔ องค์การบรรจุภัณฑ์โลก จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ร่วมจัดกิจกรรมสัมมนาออนไลน์
๑๒:๑๒ การแข่งขันกีฬาขี่ม้าโปโลรายการ King Power International Ladies' Polo Tournament 2024
๑๒:๔๔ DEXON ปักธงรายได้ปี 67 ทะลุ 700 ลบ. โชว์ Backlog เฉียด 280 ลบ. ล็อคมาร์จิ้น 35-40%
๑๒:๑๐ JPARK ร่วมงาน Dinner Talk ผู้บริหารจดทะเบียนพบนักลงทุน จ.ราชบุรี
๑๒:๒๓ นีเวีย ซัน และ วัตสัน จับมือต่อปีที่สองชวนดูแลท้องทะเล กับโครงการ เพราะแคร์ จึงชวนแชร์ ร่วมพิทักษ์รักษ์ทะเลไทย
๑๒:๕๗ Cloud เทคโนโลยีที่อยู่ใกล้ตัว เพียงแค่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง
๑๒:๒๘ โรยัล คานิน ร่วมกับ เพ็ทแอนด์มี จัดงาน Royal Canin Expo 2024: PAWRENTS' DAY เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้นสำหรับน้องแมวและน้องหมา
๑๒:๑๐ STEAM Creative Math Competition
๑๒:๔๔ A-HOST ร่วมวาน MFEC Inspire ขึ้นบรรยายพร้อมจัดบูธ Cost Optimization Pavilion
๑๒:๔๗ ฟินเวอร์! ส่องความคิ้วท์ 'ฟอส-บุ๊ค' ควงคู่ร่วมงาน Discover Thailand เสิร์ฟโมเมนต์ฉ่ำให้แฟนๆ ได้ดับร้อนกันยกด้อมรับซัมเมอร์ และร่วมส่งต่อความสุขในกิจกรรม 'Exclusive Unseen Food Trip กับ คู่ซี้