ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก “ธอส.” ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้แสนกว่าล้านบาท เดินหน้าสร้างโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านตามนโยบายรัฐบาล พร้อมยกระดับการให้บริการสู่ Digital Service อย่างเต็มรูปแบบ ตอบโจทย์ 4.0

พุธ ๑๘ กรกฎาคม ๒๐๑๘ ๐๙:๔๕
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โชว์ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2561 ยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ 105,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 53.67% เป็นจำนวนบัญชีทั้งสิ้น 85,263 บัญชี โดยในจำนวนนี้เป็นผู้มีรายได้น้อยและปานกลางวงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท 51,482 ราย นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2496 ที่ภายใน 6 เดือนแรก สามารถปล่อยสินเชื่อได้ทะลุ 1 แสนล้านบาท ดันยอดสินเชื่อคงค้างรวมแตะ 1,070,698 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปี 2561 สามารถปล่อยสินเชื่อปล่อยใหม่ได้ตามเป้า 189,000 ล้านบาท สะท้อนบทบาทที่ชัดเจนในการดำเนินการตามพันธกิจของ ธอส. : ทำให้คนไทยมีบ้าน และเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศให้ขยายตัวพร้อมช่วยให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับแผนครึ่งปีหลังพร้อมเดินหน้า Digital Service อย่างเต็มรูปแบบ โดยในไตรมาส 3 จะเริ่มเปิดให้บริการ Mobile Application : GHB ALL ที่รวมทุกบริการของ ธอส. ไว้ในมือคุณ

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2561 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนว่า ธนาคารสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ปล่อยสินเชื่อปล่อยใหม่ได้ 105,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 53.67% คิดเป็น 85,263 บัญชี โดยเป็นสินเชื่อปล่อยใหม่วงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง จำนวน 51,482 ราย สะท้อนบทบาท ธอส. ในการสนับสนุนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศให้ขยายตัวอย่างแข็งแรงต่อเนื่อง สนองนโยบายรัฐบาลและแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ต้องการให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2561 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,070,698 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.62% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2560 มีสินทรัพย์รวม 1,137,871 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.10% เงินฝากรวม 920,248 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.25% มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 47,208 ล้านบาท คิดเป็น 4.41% ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 0.20% จาก ณ สิ้นปี 2560 ซึ่ง NPL อยู่ที่ 4.21% ของสินเชื่อรวม และมีกำไรสุทธิ 6,439 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังอยู่ที่ระดับแข็งแกร่งมากที่ 14.53% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 8.50% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

"นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้เกิน 1 แสนล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ขยายตัวดีขึ้น รวมถึงการจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าทุกระดับรายได้ โดยผลิตภัณฑ์สินเชื่อกลุ่ม Social Solution หรือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย อาทิ โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับกลุ่มผู้ที่ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีรายได้ ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน บุคลากรภาครัฐ และประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มียอดปล่อยสินเชื่อรวมจำนวน 22,150 ล้านบาท โครงการบ้าน ธอส.เพื่อสานรัก ปี 2561 ให้กู้ต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท ปล่อยได้จำนวน 8,270 ล้านบาท ส่วนผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Business Solution หรือสำหรับกลุ่มผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป อาทิ สินเชื่อบ้านมั่งมีศรีสุข สินเชื่อ For Home และสินเชื่อบ้าน Home for All มียอดปล่อยสินเชื่อรวมกันกว่า 36,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าหมาย 189,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน"นายฉัตรชัยกล่าว

นายฉัตรชัย กล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานในครึ่งปีหลังว่า ธนาคารพร้อมร่วมมือพันธมิตรสนับสนุนสินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงเป็นกลไกของภาครัฐ ช่วยให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศขยายตัวอย่างแข็งแรงต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ถือเป็นภารกิจหลักที่ ธอส. ต้องดำเนินการสนับสนุนให้คนไทยมีบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย/ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มที่เริ่มครอบครัว และกลุ่มผู้สูงอายุ นอกจากนี้ธนาคารได้จัดทำ เครื่องรับเงินฝากประชารัฐ : Mobile Deposit Machine เป็นเครื่องรับฝากเงินให้บริการนอกสถานที่แก่ลูกค้ากลุ่มผู้มีรายได้น้อยตามชุมชนต่างๆ เพื่อความรวดเร็ว มั่นใจ ปลอดภัย สร้างวินัยการเงิน และเสริมความเข้มแข็งเพื่อการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อเพื่อการมีบ้านในอนาคต โดยจะเริ่มให้บริการจำนวน 200 เครื่อง ภายในเดือนกรกฎาคม

นายฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกหนึ่งนโยบายที่ ธอส.ให้ความสำคัญกับการยกระดับการให้บริการตามแผน Transformation to Digital Service เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นตัวขับเคลื่อน นำ Digital Technology มาปรับใช้ทุกส่วนของธุรกิจ ยกระดับการทำงานภายในองค์กร สร้างนวัตกรรมการเงิน และช่องทางการให้บริการดิจิทัล ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุค 4.0 เพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมการเงินแบบดิจิทัลที่เข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ในทุกที่ทุกเวลา โดยได้จัดทำโครงการ Payment Gateway พัฒนาช่องทางการชำระเงินกู้ เพื่อแก้ปัญหาลูกค้าไม่สะดวกในการชำระหนี้เงินกู้ รอคิวนานในช่วงสิ้นเดือน นับเป็นโครงการสำคัญตามแผนยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย

1) เครื่องรับชำระหนี้เงินกู้อิเล็กทรอนิกส์ : LRM อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่จะชำระเงินกู้ด้วยเงินสด (Cash Payment) ไม่ต้องรอคิวนานเพื่อชำระหนี้เงินกู้ ตอบโจทย์ "ชำระกี่บัญชีก็นาทีเดียว" เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2560 และภายในเดือนกรกฎาคม 2561 นี้ ธอส.จะมีเครื่องรับชำระหนี้เงินกู้อิเล็กทรอนิกส์ รวม 170 เครื่อง ลดปัญหาการกระจุกตัวการชำระหนี้เงินกู้ของลูกค้าในช่วงสิ้นเดือน เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และลดปริมาณธุรกรรมหน้าเคาน์เตอร์

2) เครื่องชำระเงินกู้ไร้เงินสด : QR Non Cash Payment ตอบรับสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ลูกค้าสามารถชำระหนี้เงินกู้ ธอส. โดยใช้ Mobile Application ของธนาคารต่างๆ เพียงระบุเลขที่บัญชีเงินกู้ และเลือกบัญชีและจำนวนเงินที่ต้องการชำระผ่านเครื่องชำระหนี้เงินกู้ไร้เงินสดของ ธอส. หลังจากนั้นเครื่องจะสร้าง QR Code เฉพาะการชำระหนี้เงินกู้ครั้งนั้นๆ โดยลักษณะการทำงานจะคล้ายเครื่อง รับชำระหนี้เงินกู้อิเล็กทรอนิกส์ : LRM คือแทนที่ลูกค้าจะชำระด้วยเงินสด แต่จะเป็นการชำระด้วยการโอนเงินผ่าน Mobile Application ด้วย Dynamic QR Code ธนาคารติดตั้งเครื่องชำระหนี้เงินกู้ไร้เงินสด QR Non Cash Payment จำนวน 20 เครื่อง เพื่อให้บริการลูกค้า โดยติดตั้งที่สาขา กทม.และปริมณฑล ก่อนภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชำระหนี้เงินกู้ของลูกค้าแบบค่อยเป็นค่อยไป จากเดิมชำระด้วยเงินสด ผ่านหน้าเคาน์เตอร์ หรือเครื่อง LRM เป็นชำระหนี้เงินกู้แบบไม่ต้องใช้เงินสดผ่าน QR Non Cash Payment และ GHB Mobile Application ตามลำดับ

3) Mobile Application : GHB ALL เป็นแอปพลิเคชันของ ธอส.ที่รวมทุกบริการของ ธอส.ไว้ในมือคุณ ออกแบบมาเพื่อง่ายต่อการใช้งานทุกฟังก์ชั่น สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจรแบบ Anywhere Anytime เริ่มตั้งแต่จองคิว ติดต่อเจ้าหน้าที่ แจ้งความจำนงขอสินเชื่อ สอบถามสถานะพิจารณาสินเชื่อ แจ้งผลอนุมัติ นัดทำนิติกรรม ชำระหนี้เงินกู้ โอนเงิน ใบเสร็จรับชำระหนี้ และแจ้งเตือนชำระหนี้ เป็นต้น โดยธนาคารจะเริ่มเปิดให้บริการภายในไตรมาส 3/2561 และจะพัฒนา GHB Mobile Application จนเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้ ทั้งนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปี 2561 จำนวนธุรกรรมชำระหนี้เงินกู้ผ่าน Payment Gateway ทั้ง 3 ช่องทาง จะไม่ต่ำกว่า 40% ของจำนวนธุรกรรมที่มาชำระเงินกู้ที่เคาน์เตอร์ ของธนาคารทั้งหมด

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๙ เม.ย. บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๙ เม.ย. รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๙ เม.ย. กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๙ เม.ย. ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๙ เม.ย. กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๙ เม.ย. เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๙ เม.ย. สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๙ เม.ย. GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๙ เม.ย. เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๙ เม.ย. เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4