อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกครึ่งหลังปี 2561 ได้แก่ 1. มาตรการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ปัจจุบันสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 25% คิดเป็นมูลค่าราว 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแผนจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีกในระยะถัดไป ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกไทยไม่มากก็น้อย 2. ค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น จากนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจที่ไม่สอดคล้องกัน ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศเคลื่อนไหวรวดเร็วและรุนแรงขึ้น 3. ความขัดแย้งและภัยธรรมชาติอาจปะทุขึ้นเป็นระลอก ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งภายในตะวันออกกลาง ความขัดแย้งภายในประเทศสเปน และภัยธรรมชาติ ทั้งพายุ น้ำท่วม และแผ่นดินไหว มีแนวโน้มเกิดบ่อยครั้งขึ้น
EXIM BANK มีนโยบายจะส่งเสริมการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่หรือการลงทุนของผู้ประกอบการ SMEs ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รัฐบาลมีนโยบายและให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดย EXIM BANK มีสินเชื่อครบวงจรเพื่อส่งเสริมการลงทุนในโซนพิเศษ การลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ การพัฒนาพลังงานที่สะอาด พาณิชยนาวี และสินเชื่อโครงการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีช่องทางการส่งออกเพิ่มมากขึ้น และไม่ต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในประเทศตลาดใหม่
ขณะเดียวกัน EXIM BANK พร้อมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและต้องการสินค้าไทย เช่น CLMV ซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างเห็นได้ชัด สัดส่วน GDP ของตลาดใหม่เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นจาก 22% ในปี 2540 เป็น 40% ในปัจจุบัน ขณะที่สัดส่วนการค้าระหว่างประเทศพัฒนาแล้วด้วยกันลดลงจาก 63% ในช่วงปี 2533-2537 เหลือเพียง 38% ในปัจจุบัน ขณะที่การค้าระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา และการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน เพิ่มขึ้นจาก 37% ในปี 2533-2537 เป็น 62% ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการไทยจึงควรหันมาบุกตลาดใหม่ซึ่งมีเสน่ห์ในหลายมิติและตลาดยังไม่อิ่มตัว คู่แข่งไม่มาก มีจำนวนประชากรมากและส่วนใหญ่มีอายุน้อย ขณะที่ผู้บริโภคชั้นกลางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น EXIM BANK จึงพัฒนาบริการใหม่ๆ ที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs มีศักยภาพ กำลังการผลิต เงินทุนหมุนเวียน และความพร้อมในด้านอื่นๆ ที่จะเจาะตลาดใหม่ได้อย่างมั่นใจ ส่งออกได้เพิ่มขึ้น และได้รับการชำระเงินแน่นอนจากผู้ซื้อในต่างประเทศ
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 EXIM BANK มีกำไรสุทธิ 754 ล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 มีเงินให้สินเชื่อคงค้างจำนวน 96,477 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 11,087 ล้านบาท หรือ 12.98% โดยแบ่งออกเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 31,538 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 64,939 ล้านบาท ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 85,999 ล้านบาท โดย EXIM BANK ได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ที่มีศักยภาพให้แข่งขันได้มากขึ้นทั้งทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ มีปริมาณธุรกิจของ SMEs เท่ากับ 49,241 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้างแก่ SMEs เท่ากับ 32,968 ล้านบาท
อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 3.39% ลดลง 0.22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 3,274 ล้านบาท และมีเงินสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 8,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 759 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2560 โดยเป็นสำรองหนี้พึงกันตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 3,912 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินสำรองที่กันไว้แล้วต่อสำรองหนี้พึงกัน 222.61% ทำให้ธนาคารยังคงดำรงฐานะการเงินที่มั่นคง
ในไตรมาส 2 ปี 2561 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนเท่ากับ 44,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,777 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย 8,012 ล้านบาท เป็นธุรกิจส่งออกของ SMEs หรือ 18.15% ของปริมาณธุรกิจสะสมรวม สำหรับการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศ ปัจจุบัน EXIM BANK มีวงเงินที่ให้การสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 68,497 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2561 จำนวน 38,308 ล้านบาท อีกทั้ง EXIM BANK ยังมุ่งเน้นการขยายฐานการค้าและการลงทุนในตลาดใหม่ CLMV ซึ่งมียอดคงค้างเงินให้สินเชื่อ เท่ากับ 29,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2560 เท่ากับ 1,182 ล้านบาท โดยในปี 2560 EXIM BANK ได้เปิดสำนักงานผู้แทนในเมืองย่างกุ้ง เมียนมา และเปิดสำนักงานผู้แทนในเวียงจันทน์ในปีนี้ และกัมพูชาในปี 2562
"EXIM BANK พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ปรับตัวทันกระแสโลก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคมผู้สูงอายุ การเกิดขึ้นของนวัตกรรมและแพลตฟอร์มการค้ายุคใหม่ กระแสรักษ์สิ่งแวดล้อมและรักษ์สุขภาพ โดยผู้ประกอบการไทยต้องเร่งยกระดับซัพพลายเชนของภาคการผลิตให้สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา มีศักยภาพในการพัฒนาสินค้าไทยให้มีนวัตกรรมตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ แข่งขันในตลาดบนได้ในระยะยาว โดยเฉพาะในตลาดใหม่ที่ยังมีโอกาสอีกมากสำหรับผู้ประกอบการไทย" นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141, 1144