ทีเอ็มบี ตอกย้ำการเป็นผู้นำการขายกองทุนรวม ร่วมเป็นพันธมิตรกับอีสท์สปริง พร้อมรับรู้กำไรจากดีล บลจ.ทหารไทย 1.2 หมื่นล้านบาท หนุนกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ งวด 9 เดือน เติบโต 76% มาอยู่ที่ 26,360 ล้านบาท

พุธ ๑๗ ตุลาคม ๒๐๑๘ ๑๔:๒๖
ทีเอ็มบี ตอกย้ำการเป็นผู้นำการขายกองทุนรวม ร่วมเป็นพันธมิตรกับอีสท์สปริง พร้อมรับรู้กำไรจากดีล บลจ.ทหารไทย 1.2 หมื่นล้านบาท หนุนกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ งวด 9 เดือน เติบโต 76% มาอยู่ที่ 26,360 ล้านบาท และถือโอกาสเตรียมความพร้อม IFRS 9 โดยตั้งสำรองฯ เพิ่มจากระดับปกติ ส่งผลให้ Coverage ratio สูงขึ้นเป็น 157% และกำไรสุทธิ 9 เดือนอยู่ที่ 9,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54%

ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2561 โดยกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ (PPOP) อยู่ที่ 26,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานหลักยังคงทรงตัว ขณะที่มีการรับรู้กำไรจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท จากการขายหุ้นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด หรือ บลจ.ทหารไทย 65% เพื่อร่วมเป็นพันธมิตรกับ อีสท์สปริง อินเวสต์เมนทส์ (สิงคโปร์) และกำไรจากการเปลี่ยนแปลงการควบคุมจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วม 35% ซึ่งจาก PPOP ที่สูงขึ้น ธนาคารจึงดำเนินการตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นจากระดับปกติ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ IFRS 9 และเพื่อดูแลคุณภาพสินทรัพย์ ทำให้อัตราส่วนสำรองฯ ต่อหนี้เสีย (Coverage ratio) สูงขึ้นเป็น 157% จาก 143% เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 9,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จากงวด 9 เดือน ปีก่อนหน้า

สำหรับผลดำเนินงานหลักงวด 9 เดือน ปี 2561 ทีเอ็มบีขยายฐานเงินฝากเพิ่มขึ้นได้ 4.5% จากสิ้นปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 6.39 แสนล้านบาท ตามการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเงินฝากลูกค้ารายย่อย ผ่านผลิตภัณฑ์หลักอย่าง เงินฝาก "ทีเอ็มบี โน-ฟิกซ์" (TMB No-Fixed) ที่เติบโต 13% หรือ 3.0 หมื่นล้านบาท และเงินฝาก ME Save ซึ่งเป็นเงินฝากรูปแบบดิจิทัล ที่เติบโตได้ 10% หรือ 4.1 พันล้านบาท

ทางด้านสินเชื่อ สินเชื่อคุณภาพเพิ่มขึ้น 3.3% มาอยู่ที่ 6.46 แสนล้านบาท ตามการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น 13% หรือ 1.8 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ การขยายสินเชื่อบ้านเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำ และวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท ในส่วนของลูกค้าธุรกิจ สินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงเติบโตได้ดีที่ 4% หรือ 9 พันล้านบาท สำหรับสินเชื่อเอสเอ็มอีขนาดเล็กยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นผลมาจากการดำเนินการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังของธนาคาร ทำให้ภาพรวม 9 เดือน สินเชื่อเอสเอ็มอีขนาดเล็กยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

สำหรับส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย หรือ NIM อยู่ที่ 2.96% ลดลงจาก 3.16% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2% มาอยู่ที่ 18,263 ล้านบาท และแม้รายได้ค่าธรรมเนียมชะลอลง 4% แต่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 127% มาอยู่ที่ 20,929 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 3 ธนาคารมีการบันทึกกำไร 1.2 หมื่นล้านบาท จากการขายหุ้นในบลจ.ทหารไทย จำนวน 65% ให้กับบริษัท พรูเด็นเชียล คอร์ปอเรชั่น เอเชีย จำกัด เพื่อเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับอีสท์สปริง อินเวสต์เมนทส์ (สิงคโปร์) และกำไรจากการเปลี่ยนแปลงการควบคุมจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วม 35%

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า "ทีเอ็มบีต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้าโดยไม่ยึดติดกับการธนาคารในรูปแบบเดิมๆ โดยมั่นใจว่าการจับมือกับอีสท์สปริงจะส่งผลดีต่อลูกค้าทั้งของ ทีเอ็มบี และ บลจ.ทหารไทย เนื่องจากอีสท์สปริงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารสินทรัพย์ในระดับโลกและในหลายมิติของการลงทุน ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของบลจ.ทหารไทย และตอกย้ำกลยุทธ์การให้บริการด้านกองทุนรวม หรือ 'TMB Open Architecture' ของทีเอ็มบี โดยลูกค้าของธนาคารจะได้รับบริการด้านการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญในระดับโลก และสามารถเข้าถึงกองทุนรวมชั้นนำจากต่างประเทศที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้า 'Get More' หรือ 'ได้มากกว่า'

ทั้งนี้ ทีเอ็มบีให้บริการ 'TMB Open Architecture' ให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่มมาเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว โดยคัดสรรผลิตภัณฑ์กองทุนรวมคุณภาพจากบลจ.ชั้นนำ ทั้งยังขยายความร่วมมือเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนตุลาคม บลจ.กรุงไทย เป็นบลจ.ล่าสุดที่เข้าร่วม TMB Open Architecture ทำให้ปัจจุบันลูกค้าสามารถเลือกลงทุนได้กับ 9 บลจ.ชั้นนำ ที่ทีเอ็มบี

ซึ่งกำไรพิเศษที่รับรู้เข้ามา ช่วยหนุนกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ งวด 9 เดือน เติบโต 76% มาอยู่ที่ 26,360 ล้านบาท ทีเอ็มบีจึงถือโอกาสเตรียมความพร้อมรับ IFRS9 ควบคู่ไปกับการดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างรอบคอบ ผ่านการตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นจากระดับปกติ โดยในไตรมาส 3 ธนาคารตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 9,386 ล้านบาท รวม 9 เดือน ดำเนินการตั้งสำรองฯ ไปแล้วทั้งสิ้น 14,071 ล้านบาท หนุนให้อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Coverage ratio เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 157% จาก 143% ณ สิ้นปี 2560 ขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพมีจำนวน 20,950 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ 2.69%

ทั้งนี้ ธนาคารมีกำไรสุทธิ งวด 9 เดือน ปี 2561 อยู่ที่ 9,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จาก 6,429 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว พร้อมดูแลความเพียงพอของเงินกองทุนให้เป็นไปตามเกณฑ์ Basel III โดยอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) อยู่ที่ 17.7% และ 13.8% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 10.375% และ 7.875% ตามลำดับ"

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๙ เม.ย. บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๙ เม.ย. รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๙ เม.ย. กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๙ เม.ย. ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๙ เม.ย. กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๙ เม.ย. เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๙ เม.ย. สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๙ เม.ย. GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๙ เม.ย. เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๙ เม.ย. เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4