บัญชีเดียวก็รวยได้!! กสอ.ชี้ 4 ประโยชน์ที่เอสเอ็มอีต้องรู้ เพื่อเข้าสู่ระบบบัญชีเดียว เร่งติวเข้มผปก.15 จังหวัด หวังเสริมความน่าเชื่อถือธุรกิจ – เข้าถึงสินเชื่อ

พฤหัส ๐๑ พฤศจิกายน ๒๐๑๘ ๑๗:๑๗
- กสอ.จัดโครงการ "เสริมแกร่ง เอสเอ็มอีรอบรู้การเงิน" คาดผปก.หันใช้บัญชีเดียวเพิ่ม 300 ราย พร้อมดึงภาษีเข้าระบบได้กว่า 600 ล้าน

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เร่งผลักดันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีความรู้ความเข้าใจในด้านระบบบัญชีและการเงิน โดยเฉพาะการทำบัญชีเดียว พร้อมชี้ประสิทธิภาพทางธุรกิจ 4 ข้อที่ได้จากการทำบัญชีเดียว ได้แก่ 1. ความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจ 2.โอกาสในการขอสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน 3.การลดหย่อนภาษี 4.การลดความเสี่ยงต่อการประเมินภาษีย้อนหลัง นอกจากนี้ ยังได้จัดทำโครงการ "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้การเงิน" ซึ่งมุ่งสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 15 จังหวัดในการจัดทำระบบบัญชีเดียว เพื่อลดความเสี่ยงการดำเนินธุรกิจและเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยคาดว่าจะมีผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้ระบบบัญชีชุดเดียวไม่น้อยกว่า 300 กิจการ และคาดว่าจะสามารถมีรายได้เข้าสู่ระบบประมาณ 600 ล้านบาท พร้อมส่งผลให้รัฐบาลลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นอกจากการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรู้จักและเข้าถึงกระบวนการทำธุรกิจด้วยวิธีใหม่ๆแล้ว ปัจจุบัน กสอ.ยังมุ่งผลักดันให้ผู้ประกอบการได้มีความรู้ความเข้าใจในด้านระบบบัญชีและการเงิน เนื่องจากขณะนี้ยังมีเอสเอ็มอีจำนวนมากที่ยังขาดทักษะทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติในเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะต้องเร่งกระตุ้นและสร้างความตระหนักให้ได้เห็นประโยชน์ในการปรับปรุงระบบบัญชีและการเงินของกิจการ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้ด้วยประสิทธิภาพอันสูงสุด โดยหนึ่งในมาตรการที่ขณะนี้กำลังเร่งผลักดันอย่างจริงจังก็คือ การสนับสนุนให้เอสเอ็มอีจัดทำบัญชีเดียว จากเดิมที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีหลายบัญชี ซึ่งจากการที่ธุรกิจมีหลายบัญชีจะส่งผลเสียในระยะยาว

นายกอบชัย กล่าวต่อว่า การจัดทำบัญชีเดียวนับว่าเป็นแนวทางที่มีประโยชน์ เพราะการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและตรงกับข้อเท็จจริงของธุรกิจ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมการเงินให้กับกิจการ ส่งผลให้การทำธุรกรรมและการบริหารเงินของผู้ประกอบการเป็นไปอย่างรวดเร็ว คล่องตัว และเกิดประสิทธิภาพ และทำให้เกิดความเสี่ยงน้อยลง รวมทั้งภาครัฐสามารถให้ความช่วยเหลือกับผู้ประกอบการได้ตรงจุด และตรงต่อความต้องการของผู้ประกอบการ เพราะมองเห็นภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงและชัดเจน นอกจากนี้ ในภาพรวมยังพบอีกว่าเอสเอ็มอีที่มีการใช้ระบบัญชีเดียวส่วนใหญ่ยังสามารถบริหารธุรกิจได้มีประสิทธิภาพ 4 ด้านประกอบด้วย

- ความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการจะไม่เกิดความสับสนว่าบัญชีเล่มไหนคือเล่มจริง และทำให้เห็นสภาพความเป็นจริงของสภาพคล่องทางธุรกิจว่าสินค้าหรือบริการประเภทใดที่สามารถทำกำไรให้กับตนได้เป็นอย่างดีพร้อมนำไปวางแผนการบริหารจัดการได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดระยะเวลาในการตกแต่งบัญชี เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางธุรกิจอื่นๆที่สำคัญกว่าได้อีกด้วย

- โอกาสในการขอสินเชื่อกับธนาคาร ซึ่งการมีบัญชีเดียวจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และสะท้อนสถานะทางการเงินของธุรกิจอย่างแท้จริง ทำให้มีโอกาสในการขอสินเชื่อได้มากขึ้น เพราะเมื่อธนาคารได้เห็นข้อมูลของธุรกิจที่ถูกต้องและเป็นจริง ธนาคารก็จะสามารถพิจารณาสินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจได้ และในอนาคตธนาคารจะพิจารณาสินเชื่อจากบัญชีของธุรกิจที่ใช้ยื่นกับกรมสรรพากรเท่านั้น

- การลดหย่อนภาษี ค่าใช้จ่ายบางรายการที่ปรากฏบนบัญชีเดียว เช่น การลงทุนด้านเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา การฝึกอบรมพนักงาน ค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินที่ใช้ในกิจการ กิจกรรมเหล่านี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีข้อกำหนดด้านกำไรสุทธิบางประการที่หากตรวจสอบแล้วว่าเกิดจากบัญชีชุดเดียว กรมสรรพากรยังมีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลอีกด้วย

- ไม่มีความเสี่ยงต่อการประเมินภาษีย้อนหลัง เนื่องจากบัญชีมีการให้ข้อมูลที่เป็นจริง ทำให้เกิดความโปร่งใสในด้านตัวเลขที่เป็นผลการค้าและกำไร ซึ่งแต่ละธุรกิจก็จะไม่ต้องเข้าสู่การประเมิน ตรวจสอบ ไต่สวน หรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องใดๆ เนื่องจากไม่มีการส่อถึงการหลบเลี่ยงภาษี

นายกอบชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้มาตรการพิเศษของรัฐบาลในการขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค 4.0 ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จัดทำโครงการ "เสริมแกร่ง SMEsรอบรู้การเงิน" ขึ้น โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่สร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการทำธุรกิจ โดยเน้นการจัดทำระบบบัญชีเดียว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจ และเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป ธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ โดยพิจารณาจากหลักฐานบัญชีเล่มที่ใช้ยื่นต่อกรมสรรพากรเท่านั้น

โดยโครงการดังกล่าว กำหนดจัดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการทั่วประเทศแนะนำโครงการทั้งหมด 15 ครั้ง ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สงขลา ภูเก็ต กระบี่ สุราษฎร์ธานี ชลบุรี ระยอง พระนครศรีอยุธยา สระบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น และเชียงใหม่ ซึ่งคาดว่าเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมโครงการจะมีไม่น้อยกว่า 3,500ราย พร้อมเกิดความตระหนักและเห็นความสำคัญ เปลี่ยนมาใช้ระบบบัญชีชุดเดียวและนำไปปฏิบัติใช้ในองค์กรได้จำนวนไม่น้อยกว่า 300 กิจการ นอกจากนี้ยังคาดว่าจะสามารถมีรายได้เข้าสู่ระบบประมาณ 600 ล้านบาท และส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น และเงินภาษีเหล่านั้นจะนำกลับมาพัฒนาประเทศได้ต่อไป

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ (กม.) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2202 4521,0 2202 4489 หรือ เข้าไปที่ www.dip.go.th

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๙:๕๐ ก.แรงงาน เตือนประชาชนรอบโกดังกากของเสีย จ.ระยอง ปฏิบัติตามคำแนะนำ พร้อมกำชับดูแลความปลอดภัยของลูกจ้างแรงงาน
๐๙:๒๘ MSC ร่วมกับ AWS จัดงาน MSC x AWS ECO Connect
๐๙:๐๕ เอเอฟเอส ประเทศไทย ผนึกกำลังศิษย์เก่า แลกเปลี่ยนแนวคิดธุรกิจให้เติบโตและยั่งยืน
๐๙:๐๐ Synology ช่วยให้องค์กรต่างๆ นำแผนการกู้คืนข้อมูลจากแรนซัมแวร์ไปปรับใช้ได้อย่างไร
๐๙:๓๗ ศูนย์ฯ สิริกิติ์ ชวนคนกรุงฯ ค้นหาความสุขที่แท้จริงของชีวิต กับกิจกรรม ธรรมะในสวน ห้วข้อ เข้าใจชีวิต พิชิตสุข ณ สวนเบญจกิติ 4 พฤษภาคม 2567
๐๙:๐๒ ฉางเจียงเปิดแฟชั่นโชว์ หลอมรวมวัฒนธรรมและงานศิลป์อวดสายตาชาวโลก
๐๙:๕๗ เจาะฟีเจอร์กล้อง 108MP ใน HUAWEI nova 12i สเปกเท่าเรือธงในงบต่ำหมื่น!
๐๘:๑๓ ม.หอการค้าไทย ลงนามความร่วมมือ กับ AIT
๐๘:๒๑ จับติ้วแบ่งสายสุดเดือด ศึกลูกหนังเยาวชน แอสเซทไวส์ สยามกีฬาคัพ 2024 เริ่มโม่แข้ง 23 เม.ย.นี้!!
๐๘:๔๐ The Winner of OpsSimCom 2024 by MIT Sloan is.THAMMASAT.!!