“AECS ” ชี้ รอลุ้นปัจจัยบวก พยุงตลาดหุ้นไทย ช่วงปลายปี แนะนำ STEC , BDMS , BLA , AH ส่งสัญญาณฟื้นตัว

อังคาร ๑๓ พฤศจิกายน ๒๐๑๘ ๑๔:๕๙
บล.เออีซี ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทย สัปดาห์นี้ คาด SET Index ผันผวนตามกรอบ สัญญาณทางเทคนิค โดยให้แนวรับ1,645 จุด ขณะที่แนวต้าน 1,700 จุด ระบุ นักลงทุน รอลุ้นปัจจัยบวก ที่อาจจะเข้ามาหนุนตลาด ในช่วงปลายปี เหตุจะเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจท่องเที่ยว และ ธุรกิจอุปโภคบริโภค ขณะที่ภาคการลงทุนส่อแววฟื้นตัว กระตุ้นการเลือกตั้ง พร้อมแนะลงทุนหุ้น STEC , BDMS , BLA , AH ที่ส่งสัญญาณฟื้นตัว

บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS เปิดเผยว่าสัปดาห์นี้คาด SET Index ยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,645 - 1,700 จุด โดยแม้คาดตลาดจะผันผวนจาก Earning Season ตลอดทั้งสัปดาห์ ประกอบกับ มีปัจจัยกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่คาดว่าร่วงตามราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ แม้ว่าดัชนีหุ้นไทย จะมีการผันผวนอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ แต่ทางฝ่ายวิเคราะห์ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้น ในช่วงปลายปี เนื่องจากยังคงมีปัจจัยหนุน อาทิ ช่วงปลายปี เป็นช่วง High Season ของธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจอุปโภคบริโภค ดังนั้นจึงเชื่อว่าหุ้นในกลุ่มนี้ จะสามารถเข้ามาช่วยหนุนตลาดในช่วงจังหวะเวลาดังกล่าวได้ นอกจากนี้ กรณีการเลือกตั้งใน ปีหน้า จะเข้ามาเป็นตัวหนุนอีกหนึ่งปัจจัย ที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนการลงทุน ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ดังนั้นจึงแนะนำลงทุน หุ้น STEC , BDMS , BLA , AH

" ฝ่ายวิจัย คัดเลือกหุ้น 2 กลุ่ม คือ 1) Earning Growth (หุ้นกลุ่มที่ Consensus คาดกำไรช่วง 3Q61/หรือประกาศแล้ว โต YoY,กำไรช่วง 4Q61 และปี 61-62 โต YoY) ได้แก่ STEC (S24.3,R25.5), BDMS (S24.5,25.5) 2)Q3 Bottom (หุ้นกลุ่มที่คาดกำไรช่วง 3Q61/หรือประกาศแล้วหดตัว QoQ ต่อเนื่องจากช่วง1Q61-2Q61 และช่วง 4Q61 คาดกำไรฟื้นตัว QoQ ) ได้แก่ BLA (S32,R34), AH (S24,R25.5) "

พร้อมกันนี้ ยังแนะนำให้จับตาทิศทางในต่างประเทศ โดย เฉพาะปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การพูดคุยระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และสี จิ้นผิง ในวันที่ 20 พ.ย.เพื่อหาทางออกร่วมกันต่อปัญหาสงครามการค้า ที่เริ่มส่งผลกระทบมายังภาคเศรษฐกิจ ซึ่งหากการพูดคุยดังกล่าวไม่สร้างความคืบหน้าด้านบวก จะส่งผล ทำให้ Sentiment ในตลาดกลับมาแย่ลงอีกครั้ง

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังมีทิศทางอ่อนตัว โดยแม้มีโอกาสฟื้นตัวในช่วงสั้น หลังซาอุฯ ประกาศเตรียมลดกำลังการผลิตเพิ่มอีก 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่คาดไม่เพียงพอต่อที่จะหักล้างแรงกดดันจากความต้องการใช้พลังงานที่มีแนวโน้มชะลอลง จากกำลังซื้อในหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า นอกจากนี้ในส่วนของอุปทานน้ำมันดิบโลกยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการผลิตShale oil จากสหรัฐฯ ที่ทำให้ล่าสุดสหรัฐฯ มีกำลังการผลิตน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก ทำให้เราแนะนำให้รอติดตามการประชุมOPEC ครั้งถัดไป (6 ธ.ค.) เพื่อดูมติของกลุ่มต่อความร่วมมือปรับลดกำลังการผลิต

อีกทั้ง ความเสี่ยงด้านการคลังของอิตาลี หลังคณะกรรมาธิการยุโรประบุถึงแนวโน้มการโตของ ศก. ของกลุ่มที่มีโอกาสจะชะลอตัวลง พร้อมทั้งเตือนถึงสถานการณ์ด้านการคลังของอิตาลี ที่หากยังเดินหน้าใช้งบประมาณตามร่างงบประมาณที่นำเสนอครั้งล่าสุด จะทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณของอิตาลีสูงเกินระดับที่กลุ่มกำหนดไว้ที่ 3% ในปี 63

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๒ บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๗:๓๓ รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๗:๔๔ กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๗:๔๒ ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๗:๑๕ กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๗:๑๕ เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๗:๒๙ สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๗:๑๐ GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๗:๔๓ เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๖:๓๖ เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4