ทิสโก้ เวลธ์ ยกทัพกูรูเจาะกลยุทธ์ลงทุนปี 62 จัดสรรเงินสร้างกำไร-หลบภัยในภาวะตลาดป่วน

อังคาร ๒๐ พฤศจิกายน ๒๐๑๘ ๑๑:๔๖
ทิสโก้ เวลธ์ จัดงานสัมมนา TISCO Wealth Investment Forum ยกทัพกูรูวิเคราะห์เจาะกลยุทธ์การจัดพอร์ตส่งท้ายปี หัวข้อ "ทันเกมลงทุนปี '62 เจาะลึกโอกาสสร้าง Wealth ท่ามกลางความผันผวนโลก" เผยปี 2562 ตลาดโลก-ไทยผันผวนหนัก แนะเพิ่มความระมัดระวัง-เลือกลงทุนหลากหลายประเภทสินทรัพย์ -ซื้อหุ้นรายตัว พร้อมจับตาความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด คาดดัชนีหุ้นไทยครึ่งปีแรกแตะ 1,780 จุด

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobpol, Head of Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยในงานสัมมนา TISCO Wealth Investment Forum ว่า ในปี 2562 ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลกค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะมี "ตัวฉุดเยอะ แต่ตัวช่วยน้อย" โดยตัวฉุดหลักมาจาก 1.สงครามการค้า หากสหรัฐฯ และจีนไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกให้ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนและกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ในปีหน้า จากปีนี้ที่ตัวเลขการส่งออกของทั่วโลกน่าจะเติบโตได้ในระดับที่ค่อนข้างดี เพราะผู้ประกอบการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่ผลของการประกาศขึ้นภาษีจะมีผลบังคับใช้ 2. แรงส่งจากการปรับลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ คาดว่าจะแผ่วลงในช่วงปลายปีหน้า และจะเป็นปัจจัยฉุดเศรษฐกิจต่อเนื่องไปถึงปี 2563 และ 3. แรงกดดันจากการขึ้นภาษีการบริโภคของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค. 2561 อาจทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกหดตัว

ขณะที่ตัวช่วยมีน้อยลง จากภาครัฐและธนาคารกลางมีเครื่องมือจำกัดที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในกรณีที่เศรษฐกิจชะลอลงแรง หากพิจารณาจากนโยบายการเงิน เช่น นโยบาย QE และนโยบายดอกเบี้ย ที่กำลังถูกถอนออกเรื่อยๆ เนื่องจากเงินเฟ้อเริ่มฟื้นตัว ทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเดินหน้าลดงบดุลและขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะหยุด QE ภายในสิ้นปีนี้ และเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 3 ปีหน้า ทำให้นโยบายการเงินเริ่มตึงตัวขึ้น และสภาพคล่องที่ล้นโลกเริ่มถูกทยอยดึงออกทีละน้อย

ด้านนโยบายการคลัง ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ถือเป็นประเทศใหญ่ประเทศเดียวที่ยังพอมีกระสุนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่สหรัฐฯ กลับนำกระสุนมาใช้อย่างพร่ำเพรื่อ โดยได้ประกาศลดภาษีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาลงในปีที่แล้ว รวมทั้งผ่านร่างงบประมาณเพิ่มการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ จึงทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้อย่างร้อนแรงในปีนี้ แต่ปกติการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะนี้มักจะทำในช่วงเศรษฐกิจขาลงเท่านั้น ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันนั้นตรงกันข้าม โดยอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ต่ำกว่า 4% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 50 ปี การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวดีมาก ดังนั้น การดำเนินนโยบายดังกล่าวจึงกลายเป็นการสร้างภาระหนี้ภาครัฐโดยไม่จำเป็นและยังเป็นข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต

ส่วนญี่ปุ่นและยุโรป การใช้นโยบายการคลัง เช่น การลดภาษีหรือเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐค่อนข้างมีข้อจำกัด เนื่องจากรัฐบาลมีภาระหนี้สูงอยู่แล้ว ขณะที่จีนก็ประสบปัญหาเรื่องภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงเช่นกัน ทำให้เครื่องมือเดิมๆ เช่น การปล่อยกู้และการลงทุนไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป จีนจึงต้องหันไปใช้เครื่องมืออื่น เช่น การลดภาษีและการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เห็นผลช้ากว่า และรัฐบาลก็ลังเลที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ เนื่องจากกลัวปัญหาหนี้ที่จะตามมาในระยะยาว

สำหรับภาพเศรษฐกิจไทยในปี 2562 นายคมศร กล่าวว่า การท่องเที่ยวและการส่งออกที่เคยเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีแนวโน้มอ่อนกำลังลงในปีหน้า โดยการท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบจากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่ง ESU ประเมินว่าเป็นผลจากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงแรงในปีนี้ (เงินหยวนอ่อนค่าลงประมาณ 11% นับจากเดือนเม.ย.) ฉะนั้นถ้าในปีหน้าค่าเงินหยวนไม่ฟื้นตัว โอกาสที่จะเห็นนักท่องเที่ยวจีนกลับมาโตดีคงเป็นไปได้ยาก นอกจากนี้ กรณีที่จีนยกเลิกการห้ามขายแพ็คเกจทัวร์ไปเกาหลีเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ในไตรมาส 2 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปเกาหลีเติบโตสูงถึง 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ดังนั้น เกาหลีจึงน่าจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญและทำให้การท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบพอสมควร

ส่วนการส่งออกในปี 2562 น่าจะชะลอตัวลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีประมาณ 8% โดย 3 % จาก 8% มาจากการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน ซึ่งถ้าราคาน้ำมัน (Brent) ยังทรงตัวอยู่ที่ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปีหน้าการส่งออกสินค้าเหล่านี้น่าจะไม่เติบโต ส่วนอีก 2% มาจากการส่งออกรถยนต์ที่ในปีหน้าจะได้รับผลกระทบจากยอดขายรถยนต์ในออสเตรเลียซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทย ติดลบติดต่อกันต่อเนื่องมาหลายเดือน จึงน่าจะทำให้การส่งออกรถยนต์ในปีหน้าไม่ค่อยสดใสนัก ส่วนที่เหลือจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าค่อนข้างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ภาพของเศรษฐกิจที่ดูชะลอลง ประกอบกับข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ น่าจะทำให้ปีหน้าเป็นปีที่ตลาดผันผวนไม่น้อยไปกว่าปีนี้ และการลงทุนยังคงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ (Mr.Viwat Techapoonphol, Deputy Managing Director, Head of Technical Analysis, TISCO Securities Co., Ltd) กล่าวว่า ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยในไตรมาสที่ 1 จะทำจุดสูงสุดของปี 2562 เพราะช่วงเวลาดังกล่าวประเทศไทยจะมีการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงที่นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อรับปันผล และในช่วงนี้หุ้นไทยซื้อขายในราคาที่ค่อนข้างถูกกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดยปัจจุบันมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ที่ 14.5 เท่า จากค่าเฉลี่ยในอดีตที่อยู่ที่ 15.5 เท่า สำหรับแนวรับและแนวต้านในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าหุ้นไทยจะมีแนวต้านที่ 1,780 จุด และมีแนวรับที่ 1,600 จุด ส่วนหุ้นเด่นสำหรับไตรมาสที่ 1 แนะนำให้เข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ คือ BBL หุ้นกลุ่มรับเหมา คือ CK หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ EEC คือ WHA หุ้นกลุ่มขนส่ง คือ BTS และหุ้นกลุ่มสื่อนอกบ้านคือ PLANB

"ในปีหน้าตลาดหุ้นทั่วโลกจะผันผวนใกล้เคียงหรือมากกว่าปีนี้ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนไปด้วย โดยบล.ทิสโก้มองว่าหุ้นไทยจะผันผวนในกรอบกว้าง ซึ่งต้องจับตาในเดือนมี.ค. 2562 ว่า ปัจจัยบวกเรื่องการเลือกตั้งและการจ่ายปันผลของบริษัทต่างๆ (Dividend & Pre Election Rally) จะเป็นแรงส่งทำให้ดัชนีหุ้นไทยยืนเหนือระดับ 1,780 จุด ได้หรือไม่ ซึ่งบล.ทิสโก้มองว่าเป็นระดับสูงสุดของปี 2562 แต่ในทางเทคนิคหากดัชนีไปยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ หุ้นไทยจะไปต่อที่ 1,850 - 1,900 จุด กรณีที่ยืนไม่ได้หรือไม่ทะลุ 1,780 จุด หุ้นไทยจะเข้าสู่ขาลงครั้งใหญ่ และจะเป็นขาลงต่อเนื่องยาวนานไปอีก 2-3 ปี โดยมีแนวรับแรกที่ 1,600 จุด จากนั้นจึงค่อยมาทบทวนกันอีกรอบ" นายวิวัฒน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าหุ้นไทยทั้งปี 2562 จะเป็นลักษณะแกว่งตัวออกข้าง หรือปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง เพราะต้องติดตามสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศในขณะนั้นมาประกอบกัน ลักษณะของการลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้จึงแนะนำให้ลงทุนในระยะสั้น ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่องและประเมินสถานการณ์เดือนต่อเดือน ส่วนการลงทุนในทองคำนั้นประเมินว่าในปี 2562 ราคาทองคำน่าจะปรับตัวขึ้นตามความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยไว้จัดพอร์ตการลงทุน โดยประเมินแนวต้านของทองคำในปี 2562 ไว้ที่ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Head of Marketing and Wealth Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co., Ltd.) กล่าวว่า บลจ.ทิสโก้ประเมินว่าในปี 2562 ภาวะการลงทุนของตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นโลกจะผันผวนไม่ต่างจากปี 2561 เพราะมีปัจจัยต่างๆ เข้ามากระทบตลอดทั้งปี โดยตลาดหุ้นไทยต้องระวังแรงขายทำกำไรหลังการเลือกตั้ง เนื่องจากนักลงทุนจะเริ่มกังวลถึงความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ที่คาดว่าอาจจะมาจากหลายพรรคการเมือง รวมไปถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดว่าจะเริ่มทยอยปรับขึ้นในปี 2562

ส่วนตลาดหุ้นโลกต้องจับตาความต่อเนื่องของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง และการยุติมาตรการ QE ของยุโรป รวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่หากยังคงยืดเยื้อ และไม่มีข้อสรุปนั้น ในระยะกลางอาจจะได้เห็นผลกระทบของกรณีดังกล่าวสะท้อนไปยังอัตราการขยายตัวของกำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเอเชียและแปซิฟิค ในฐานะที่เป็นผู้เกี่ยวข้องหลักในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าและบริการหลายๆ ประเภท

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2562 บลจ.ทิสโก้มองว่าด้วยความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้น นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในเลือกลงทุนให้มากขึ้น (Selective Buy) พร้อมให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตลงทุน ด้วยการเลือกลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท (Asset Allocation) เพื่อลดความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ในส่วนกองทุนหุ้นนั้นคาดว่าจะมีความผันผวนสูง โดยตลาดหุ้นที่ บลจ. ทิสโก้มองว่ายังน่าลงทุนคือตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพราะมีปัจจัยบวกที่สำคัญรออยู่ คือ การดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง และราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่แพง นอกจากนี้ บลจ.ทิสโก้ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยเป็นอีกตลาดหุ้นหนึ่งที่น่าสนใจลงทุน เพราะมีปัจจัยบวกจากข่าวการเลือกตั้ง เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และค่าเงินบาทที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

นอกจากนี้ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) ก็มีความน่าสนใจ เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีรายได้ที่ไม่ผันผวนนักเพราะธุรกิจมีความสัมพันธ์กับวัฏจักรของเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย รวมถึงหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ที่ผลประกอบการยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เติบโตได้ดี อีกทั้งคาดว่าจะได้รับผลดีจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น บลจ.ทิสโก้จึงขอแนะนำกองทุนเด่น 5 กองทุน ได้แก่

1.กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล เฮลธ์แคร์ สตาร์ พลัส (TGHSTARP) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่มีศักยภาพสูงทั่วโลก

2.กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ไฟแนนเชียล (TUSFIN) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะได้รับผลดีจากสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น

3.กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ (TISCOJP) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่คาดว่าเป็นตลาดที่ได้รับผลดีจากการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง เศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว และราคาหุ้นถือว่าไม่แพง

4.กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ (TSF) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว จาก Morning

Stars (ข้อมูลเมื่อวันที่ 13 พ.ย.61) เน้นลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี ซึ่งผู้จัดการกองทุนสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนได้ตามสถานการณ์

5. .กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล อินคัม พลัส (TGINC) ความเสี่ยงระดับ 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์หลายประเภททั่วโลกเช่น ตราสารหนี้โลก หุ้นโลก รวมไปถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งในและต่างประเทศ ช่วยนักลงทุนจัดพอร์ตครบจบในกองทุนเดียว

และ6.กองทุนเปิด ทิสโก้ อินคัม พลัส (TINC) ความเสี่ยงระดับ 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์หลายประเภท โดยเป็นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก เช่น ตราสารหนี้ไทย หุ้นไทย รวมไปถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ

กองทุนเปิด TGHSTARP TSUFIN TISCOJP TGINC และ TINCเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน กองทุนจึงมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน นอกจากนี้ กองทุนเปิด TGHSTARP และ TUSFIN ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้สนใจลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4 สำหรับผู้ที่สนใจบริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ/อีทีเอฟต่างประเทศ ของ บล.ทิสโก้ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ TISCO Global Trade โทร. 02-633-6655

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๙ เม.ย. บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๙ เม.ย. รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๙ เม.ย. กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๙ เม.ย. ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๙ เม.ย. กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๙ เม.ย. เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๙ เม.ย. สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๙ เม.ย. GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๙ เม.ย. เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๙ เม.ย. เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4