นายพร้อมพงศ์ ไชยกุล กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ด้านซัพพลายเชน บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT กล่าวถึง แนวโน้มผลประกอบการในปี 2562 คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา หลังจากผลประกอบการปี 2561 สามารถกลับมามีกำไรสุทธิ 71.94 ล้านบาท จากปี 2560 บริษัทฯมีผลขาดทุนสุทธิ 546.95 ล้านบาท เนื่องจากการตั้งสำรอง บริษัทตั้งเป้าหมายของยอดขายไว้ปี 2562 ที่ 2,400 ล้านบาท หรือเติบโต 40% เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งลูกค้าเก่าและใหม่ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าใหม่จากต่างประเทศประมาณ 7-8 ราย คาดว่าจะทยอยเห็นความชัดเจนในปีนี้ได้ทั้งหมด
โดยแผนปียังเน้นกลยุทธ์ผลิตสินค้าที่มาร์จิ้นสูงเป็นหลัก เน้นการกระจายตัวยอดขายของแต่ละธุรกิจและกระจายลูกค้ามากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง สำหรับไฮไลท์ปีนี้กลุ่มสินค้า Optics , Box Build , Advance Packaging ยังเติบโตต่อเนื่อง ส่วน IC Packaging นั้นอุตสาหกรรมมีการอ่อนตัวลงแต่ก็จะรักษาระดับรายได้ไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา
"บริษัทจะเพิ่มยอดขายทั้งจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะสินค้าใหม่ New Products อีกทั้งฝ่ายพัฒนาธุรกิจได้เร่งหาลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากยอดขายตามคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาปีนี้ในส่วนของลูกค้า Optics คาดว่ายอดขายจะโตมากกว่า 80% ส่วนลูกค้า Box Build คาดว่ายอดขายจะโต 100% และ IC Packaging จะรักษาระดับรายได้ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งบริษัทพยามเร่งปรับตัวในการลดต้นทุนในการผลิตเพื่อให้ได้อัตรากำไรที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเลือกที่จะผลิตสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง มาผลิตสินค้าประเภท high value added เช่น IC Packaging, Wafer dicing, Advance Pakaging และ Optics '' นายพร้อมพงศ์กล่าว
ส่วนการลงทุนในปี 2562 นี้ เบื้องต้นบริษัทวางเงินไว้ที่ประมาณ 100 ล้านบาท รองรับการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรให้สามารถรองรับเทคโนโลยีการผลิตรูปแบบใหม่ๆ ของลูกค้าได้อย่างเต็มความสามารถมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯเตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 29 เมษายน 2562 นี้ เพื่อพิจารณาอนุมัติการโอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน 79,300,000 บาท และส่วนเกินมูลค่าหุ้นจำนวน 514,608,864 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 จำนวน 593,908,864 บาท หลังจากผลงานในปี 2561 ถือเป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวด์อย่างเต็มตัว สามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ 71.94 ล้านบาท เพื่อเปิดทางให้มีการจ่ายเงินปันผลได้เมื่อบริษัทมีกำไร
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในงวดปี 2561 มีกำไรสุทธิ 71.94 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่ขาดทุนสุทธิ 546.95 ล้านบาทเนื่องจากการตั้งสำรอง มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการจำนวน 1,765.66 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.75% ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทฯที่เน้นผลิตสินค้าที่มาร์จิ้นสูงเป็นหลัก โดยมีกำไรขั้นต้นจำนวน 329.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 257.69 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 356.47% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการบริหารต้นทุนการผลิตของบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น