นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้นำกลุ่มธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เปิดเผยถึง ภาพรวมกลุ่มบริษัทในช่วงครึ่งปีแรก ยอดขายและกำไรเติบโต พร้อมประเมินแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังเดินตามกลยุทธ์ที่วางไว้ จากการลงทุนของภาครัฐบาลและเอกชน กลุ่มลูกค้ามีการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่มีศักยภาพ ทั้งประเภทแนบราบและแนวสูง สนับสนุนโอกาสในการรับงานเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน ณ เดือนสิงหาคม 2562 มีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) 1720 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า รวมทั้งเดินหน้าประมูลงานใหม่ ล่าสุด STI ได้รับงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง โครงการพัฒนาพื้นที่เขตพาณิชย์สวนหลวง-สามย่าน ของสำนักงานทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลค่าโครงการรวมประมาณ 80 ล้านบาท ระยะเวลางานประมาณ 3 ปี สนับสนุนแผนในปีนี้ และมีเงินสดคงเหลืออยู่ในระดับสูง เพื่อรองรับการขยายกิจการในอนาคต มั่นใจภาพรวมปี 2562 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ทั้งรายได้และกำไร เมื่อเทียบกับปี 2561 ทำรายได้จากการให้บริการไว้ที่ 631 ล้านบาท กำไรสุทธิ 73 ล้านบาท
ทั้งนี้ กลุ่ม STI ไม่กังวลสถานการณ์แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ที่ชะลอตัวจากปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจ และมาตรการของรัฐบาล ด้วยความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างทุกประเภท มีโครงการในมือหลากหลาย สะท้อนการบริหาร Product Mix อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ โครงการประเภทคอนโดมิเนียม, มิกซ์ยูส, อาคารอเนกประสงค์, อาคารสำนักงาน และขยายโอกาสไปยังงานโครงการอื่นๆ อาทิ โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล เป็นต้น
ก่อนหน้านี้ ประกาศผลประกอบการงวดครึ่งปีแรก 2562 กลุ่ม STI มีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 40.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 247% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิ 12.2% มีรายได้จากการให้บริการอยู่ที่ 326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น ปริมาณงานที่มีกำไรขั้นต้นสูงขึ้น และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างดีเยี่ยม
ผลประกอบการงวดประจำไตรมาส 2/2562 กลุ่ม STI มีรายได้จากการให้บริการรวมอยู่ที่ 172.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% และ มีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 22.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิ 12.5% แม้จะมีการบันทึกสำรองผลประโยชน์ระยะยาวของพนักงานเพิ่มเติมจำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายจ่ายครั้งเดียวและไม่ใช่รายการเงินสด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที 7) พ.ศ. 2562