สถานการณ์โจมตีโรงกลั่นน้ำมันซาอุฯ หากยืดเยื้ออาจจะดันเงินเฟ้อปี’ 62 เพิ่มอีก 0.3%

อังคาร ๑๗ กันยายน ๒๐๑๙ ๐๙:๓๔
โรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ 2 แห่งของซาอุดีอาระเบียถูกโจมตีทางอากาศ (จากโดรน) ส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 16 ก.ย. 2562 ดีดตัวสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 10 หลังตลาดซื้อขายล่วงหน้าเปิดทำการ โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ซื้อขายในตลาดล่วงหน้าพุ่งสูงขึ้นเกือบร้อยละ 12 หรือเพิ่มขึ้น 7.06 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล จากราคาปิดตลาดซื้อขายเมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 13 ก.ย. 2562 สู่ระดับ 67.28 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล (อ้างอิงราคาน้ำมันดิบเบรนท์จาก CNBC) เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกหวั่นวิตกต่อปัญหาการขาดแคลนอุปทานน้ำมันดิบ นั่นเป็นเพราะซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก และความเสียหายที่เกิดขึ้นส่งผลให้ซาอุดีอาระเบียสูญเสียกำลังการผลิตน้ำมันดิบไป 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากกำลังการผลิตทั้งสิ้น 9.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 58.2 ของกำลังการผลิตน้ำมันดิบทั้งหมดของซาอุดีอาระเบีย และคิดเป็นร้อยละ 5.7 ของกำลังการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก (อยู่ที่ 99.24 ล้านบาร์เรลฯ ต่อวันในเดือนส.ค. 2562) ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบของเหตุการณ์นี้ต่อเศรษฐกิจไทยโดยแบ่งเป็น 2 กรณีตามระดับความรุนแรงของสถานการณ์การตอบโต้ ดังต่อไปนี้

กรณีฐานซาอุดีอาระเบียไม่ได้ใช้ความรุนแรงในการตอบโต้ อาทิ การข่มขู่ให้กลัว การตอบโต้โดยใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับอิหร่าน ก็น่าจะทำให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 1-2 สัปดาห์เท่านั้น ภายใต้สมมุติฐานนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะทยอยปรับตัวลดลงเข้าสู่ระดับเดิมก่อนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ (ที่ระดับ 50-60 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล) ซึ่งอาจจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉพาะในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. 2562 โดยคาดว่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 4 เดือนหลังของปี 2562 ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.05 จากประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปเดิม (กรณีที่ไม่มีเหตุการณ์โรงกลั่นน้ำมันของซาอุดีอาระเบียถูกโจมตีทางอากาศ) ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยตลอดทั้งปี 2562 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 0.84

กรณีที่ซาอุดีอาระเบียใช้ความรุนแรงในการตอบโต้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโลกยืนอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2562 สถานการณ์ที่รุนแรงขึ้นประกอบกับอุปทานน้ำมันดิบโลกที่ลดลงน่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในระดับที่สูงขึ้นมาอยู่ในกรอบ 70-80 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลในช่วง 3-4 เดือนที่เหลือของปี 2562 (จากเดิมที่เคลื่อนไหวใน 50-70 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านหลายช่องทางด้วยกัน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปน่าจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปี 2562 โดยราคาน้ำมันดิบโลกที่ขยับขึ้นจะส่งผลต่อระดับราคาพลังงานในประเทศให้ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน ก๊าซ NGV รวมถึงก๊าซ LPG ซึ่งจะส่งผลต่อระดับราคาผู้บริโภคภายในประเทศทั้งทางตรงจากการบริโภคพลังงานที่มีราคาสูงขึ้น และทางอ้อมผ่านการปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริการของผู้ประกอบการหลังแบกรับต้นทุนพลังงานที่แพงขึ้น เช่น อาหารทานนอกบ้าน ค่าโดยสารสาธารณะ (โดยเฉพาะค่าโดยสารเรือสาธารณะที่มีการปรับเพิ่มตามราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ) เป็นต้น ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 70-80 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลในช่วง 4 เดือนสุดท้าย (ก.ย. –ธ.ค.) ของปี 2562 จะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลขยับขึ้นมาที่ระดับใกล้เคียง 30 บาทต่อลิตร (จากปัจจุบันที่ 26.09 บาทต่อลิตร) ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยคาดการณ์ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2562 เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า จากร้อยละ 0.72 (ประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปในกรณีที่ไม่มีสถานการณ์โรงกลั่นน้ำมันของซาอุดีอาระเบียถูกโจมตี) มาอยู่ที่ร้อยละ 1.48 ซึ่งจะหนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปตลอดทั้งปี 2562 ขยับขึ้นจากเดิมที่ประเมินไว้ที่ร้อยละ 0.82 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.08 หรือปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในกรอบ 70-80 ดอลลาร์ฯ ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2562 จะส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศของไทยในปี 2562 เกินดุลลดลงราว 1,231 ล้านดอลลาร์ฯ จากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบจากการเกินดุลการค้าที่ลดลงจะส่งผลต่อเนื่องไปยังอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2562 ให้ลดลงราวร้อยละ 0.2-0.3 ขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐในการดูแลราคาพลังงานในประเทศ อย่างไรก็ตาม การเกินดุลการค้าที่ลดลงอาจจะเป็นปัจจัยที่ช่วยบรรเทาแรงกดดันของค่าเงินบาทที่แข็งค่าจากการเกินดุลการค้าของไทยที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

ที่มา: กระทรวงพาณิชย์และศูนย์วิจัยกสิกรไทย

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงข้อมูลได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็นหรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๑ เม.ย. อ.อ.ป. ร่วม พิธีสรงน้ำพระ ขอพร เนื่องในวันสงกรานต์ประจำปี 2567 ทส.
๑๑ เม.ย. 1 จาก 1,159 ศูนย์การค้า เดอะ พาลาเดียม เวิลด์ ช้อปปิ้ง ส่งมอบลอตเตอรี่ที่ไม่ถูกรางวัล จำนวน 125,500 ใบ ให้กับศูนย์สาธารณสงเคราะห์เด็กพิเศษ วัดห้วยหมู
๑๑ เม.ย. JPARK ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผถห. อนุมัติปันผล 0.0375 บาทต่อหุ้น
๑๑ เม.ย. สเก็ตเชอร์ส สนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อความสบายแก่บุคลากรทางการแพทย์ บริจาครองเท้ารุ่น GOwalk 7(TM) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์
๑๑ เม.ย. ศูนย์คนหายไทยพีบีเอส ร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทำงานเชิงป้องกัน เก็บก่อนหาย ในผู้สูงอายุ
๑๑ เม.ย. จุฬาฯ อันดับ 1 ของไทย การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย QS WUR by Subject 2024
๑๑ เม.ย. ครั้งแรกในไทย 'Pet Us' เนรมิตพื้นที่จัดกิจกรรม มะหมามาหาสงกรานต์ ชวนน้องหมาทั่วทั้ง 4 ภาคร่วมสนุกในช่วงสงกรานต์ 13-14 เมษายน ตอกย้ำความสำเร็จฉลอง 'Pet Us' ครบ 3
๑๑ เม.ย. LINE STICKER OCHI MOVE จาก OCEAN LIFE ไทยสมุทร คว้ารางวัลชนะเลิศ Best Sponsored Stickers in Insurance ในงาน LINE THAILAND AWARDS
๑๑ เม.ย. วว. ผนึกกำลังหน่วยงานเครือข่าย พัฒนาเชื่อมโยงการค้า ตลาด วิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
๑๑ เม.ย. บริษัท เค วัน วัน ดี จำกัด ถือฤกษ์ดีจัดพิธีบวงสรวง ซีรี่ส์ Girl's Love เรื่องใหม่ Unlock Your Love : รักได้ไหม ?