กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่าตลาดการซื้อขายจะยังคงเป็นไปอย่างเงียบเหงาช่วงต้นสัปดาห์ขณะนักลงทุนปิดสถานะช่วงสิ้นปี อย่างไรก็ดี ตลาดจะจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนเป็นสำคัญ หลังสหรัฐฯเปิดเผยว่าผู้แทนจากทั้งสองประเทศจะลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสหนึ่งในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม
ในส่วนของปัจจัยภายในประเทศ ตลาดจะให้ความสนใจกับข้อมูลภาวะเศรษฐกิจเดือนพฤศจิกายนและอัตราเงินเฟ้อเดือนธันวาคมหลังตัวเลขการค้าเดือนพฤศจิกายนจากกระทรวงพาณิชย์บ่งชี้ว่าการส่งออกลดลง 7.39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดนำเข้าหดตัว 13.78% ทำให้ไทยเกินดุลการค้า 0.55 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี มูลค่าส่งออกลดลง 2.77% ส่วนการนำเข้าหดตัว 5.22% และมียอดเกินดุลการค้า 9.0 พันล้านดอลลาร์ โดยกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ประเมินว่ายอดเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งอาจมีแนวโน้มลดลงบ้างแต่ยังคงอยู่ในระดับสูงจะสร้างแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่าต่อได้อีกระยะ อย่างไรก็ตาม การนำเข้าที่หดตัวอย่างต่อเนื่องสะท้อนการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและทิศทางการเติบโตที่ยังอยู่ในลักษณะประคองตัวในปี 63
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ปี 63 ที่ 1-3% เทียบกับกรอบปัจจุบันที่ 1-4% โดยการปรับกรอบเป้าหมายครั้งนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดมากนัก เนื่องจากเป็นกรอบที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจรวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าการปรับลดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณถึงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน ส่วนประเด็นค่าเงินบาทธปท.ย้ำว่ายังแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐานและพร้อมดำเนินนโยบายที่เหมาะสม ท่าทีเช่นนี้จะยังคงส่งผลให้ตลาดระมัดระวังต่อไป