การคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ปี 2563 ประเมินความเสี่ยง โอกาสทางเศรษฐกิจและการลงทุน ทิศทางค่าเงินบาท ตราสารหนี้ ตลาดหุ้นและราคาน้ำมัน

จันทร์ ๐๖ มกราคม ๒๐๒๐ ๐๘:๑๑
เศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อยหากภาคการลงทุนและภาคการส่งออกฟื้นตัว หรือ อาจแย่ลงกว่าเดิมอีกหากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่กระทบต่อภาคการลงทุนและการบริโภค สงครามระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯลุกลามจนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมากกว่า 20% จากระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ภาคการท่องเที่ยวของเอเชียและไทยอาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ที่มีระดับความรุนแรงในการแพร่ระบาดแบบเดียวกับโรคซาร์เมื่อ 17 ปีก่อน แต่ยังไม่ถึงขั้นเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจแบบปี 2540 หากไม่แก้ไขปัญหาต่างๆในเชิงโครงสร้างที่สะสมมาและเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง จะซบเซาต่อเนื่อง ความสามารถแข่งขันถดถอย เหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น สะสมปัญหาที่จะเกิดปะทุเป็นวิกฤติในอนาคต

15.00 น. 5 ม.ค. พ.ศ. 2563 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฎิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 3.5-3.6%เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2562 ที่เติบโตเพียง 3% (ต่ำสุดในรอบ 10 ปี) จีดีพีโลกปี พ.ศ. 2563 คำนวณโดยใช้ IMF Purchasing Power Parity อยู่ที่ 149.53 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผลกระทบของสงครามทางการค้าปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นแต่การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2001-2019 (พ.ศ. 2544-2562) ที่ระดับ 3.9 โดยอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเคยขึ้นแตะระดับ 4.3% ในปี พ.ศ. 2543 ปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกล่าสุดเกิดจากความขัดแย้งทางการทหารระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านและการขยายวงของวิกฤตการณ์สงครามและความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ปัจจัยดังกล่าวจะกดดันให้ราคาน้ำมันและพลังงานเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี โดยราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับขึ้นไปแล้วกว่า 4% แตะระดับสูงสุดนับแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว หากอิหร่านตอบโต้ด้วยการปิดช่องแคบ Hormuz ซึ่งเชื่อมระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมานหรือโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันผ่านช่องแคบ Hormuz จะทำให้มีผลกระทบต่ออุปทานของน้ำมันดิบในเอเชียเนื่องจาก 80% ผ่านช่องทางนี้เพื่อขนส่งมายังเอเชีย มีน้ำมันดิบประมาณ 22.5 ล้านบาร์เรลต่อวันผ่านช่องแคบนี้ ทางด้านผู้นำสหรัฐฯประกาศพร้อมโจมตีตอบโต้ 52 เป้าหมายสำคัญในอิหร่าน ปัจจัยดังกล่าวย่อมส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 20% จากระดับราคาปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อของประเทศต่างๆจะสูงกว่าที่คาดการณ์โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความจำเป็นในการต้องดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและทางการคลังเพิ่มขึ้น คาดว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะอยู่ที่ 1.9-2.1% อัตราการขยายตัวของยูโรโซนอยู่ที่ 1.2-1.5% ญี่ปุ่นอยู่ที่ 0.5-0.8% จีนอยู่ที่ 5.8-6%

ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวอีกว่า อัตราการขยายตัวของปริมาณการค้าโลกปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ขยายตัวได้เพียง 1.2-1.2% อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบเป็นมูลค่าในรูปเงินดอลลาร์ยังคงหดตัวหรือติดลบต่อเนื่องจากปีที่แล้ว การขยายตัวของการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับการค้าและการลงทุนระหว่างภูมิภาค อันเป็นผลจากลักษณะของระบบโลกาภิวัฒน์ที่เปลี่ยนแปลงไปและการเผยกระจายของการกีดกันและการปกป้องทางการค้ารวมทั้งอิทธิพลของแนวคิดลัทธิพาณิชย์นิยมและชาตินิยมทางเศรษฐกิจ คาดว่าผลตอบแทนตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดการเงินยังคงเป็นบวกจากสภาพคล่องทั่วโลกที่ยังสูงมาก และจะปรับเพิ่มขึ้นอีกจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและธนาคารกลางจีน ราคาทองคำและดอลลาร์แข็งค่าปรับตัวสูงขึ้นจากปัญหาสงครามในตะวันออกกลาง นักลงทุนมีความต้องการในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง ดอลลาร์ พันธบัตรรัฐบาล และทองคำมากขึ้น

ดร. อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ปัจจัยบวก คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนอาจจะไม่รุนแรงขึ้น แต่จะเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นความขัดแย้งในการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะในสินค้าไฮเทคเทคโนโลยี จะเกิดสงครามค่าเงินมากขึ้น (Currency War) นอกจากนี้ อาจเกิดความขัดแย้งทางการค้าประเด็นเรื่องการเก็บภาษีธุรกิจดิจิทัลธุรกิจออนไลน์ระหว่างสหรัฐกับยุโรป ส่วน Brexit นั้นจะยืดเยื้อไปอีกนานกว่าจะมีข้อตกลงกันได้

ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงเศรษฐกิจไทย ว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้มีความไม่แน่นอนและผันผวนสูงมากและยังมีการเติบโตต่ำกว่าศักยภาพติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ยังไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่หลายท่านเรียกว่า "เผาจริง" แต่อย่างใดหรือวิกฤติเศรษฐกิจการเงินแบบปี 2540 เพียงแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจเติบโตต่ำต่อเนื่องยาวนานอันเป็นผลจากปัญหาในเชิงโครงสร้าง ความถดถอยของความสามารถในการแข่งขันจากคุณภาพทรัพยากรมนุษย์และคุณภาพการศึกษา การแพร่กระจายของการคอร์รัปชันในทุกระดับ รวมทั้งความเสื่อมศรัทธาอันเป็นผลจากการไม่ยึดมั่นในหลักนิติรัฐนิติธรรม นอกจากนี้ยังไม่สามารถในการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีดิสรัปชันได้อย่างเท่าทันทั้งในส่วนของกิจการและธุรกิจต่างๆตลอดจนถึงคนงาน จึงทำให้เกิดภาวะเลิกจ้างและว่างงานเพิ่มมากขึ้นอีกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี พ.ศ. 2563 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.8-2.9% ต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของจีดีพีโดยเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียน โดยประเทศไทยจะมีจีดีพีต่ำที่สุดเป็นอันดับสองรองจากสิงคโปร์ในปีนี้ อัตราการขยายตัวจีดีพีโดยเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียอยู่ที่ประมาณ 6% เศรษฐกิจไทยอาจกระเตื้องขึ้นได้เล็กน้อยหากภาคการลงทุนและภาคการส่งออกฟื้นตัว การเรียงลำดับความสำคัญของการเร่งรัดในการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐจึงมีความสำคัญ โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ในระดับ 2.6-2.9% ซึ่งเป็นกรอบการคาดการณ์ด้านสูงของศูนย์วิจัยฯมีความเป็นไปได้ ขณะที่กรอบการคาดการณ์ด้านต่ำมีความเป็นไปได้มากกว่า คือ ขยายตัวต่ำกว่า 2% การที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ต่ำกว่าปีที่แล้วทั้งที่สถานการณ์ทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯดีขึ้น เป็นผลจากปัจจัยลบดังต่อไปนี้ ปัจจัยที่หนึ่ง วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่อันเป็นผลมาจากการขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย การขาดระบบนิติธรรมและการขาดความเป็นธรรมในสังคมรวมทั้งการสร้างกระแสเกลียดชังกันครั้งใหม่ด้วยการปลุกกระแส "ชังชาติ" ขึ้นมา หรือการให้ร้ายป้ายสีโดยไม่มีข้อเท็จจริงรองรับเรื่องแนวคิดในการล้มล้างสถาบันหลักของประเทศ ภาวะดังกล่าวเป็นวิกฤติที่คนไทยจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้รักสามัคคีและไม่ยึดถือความปรองดองสมานฉันท์สร้างขึ้นมาเอง และสิ่งนี้จะมีผลกระทบต่อภาคการลงทุน การบริโภคและภาคการท่องเที่ยวอย่างยากที่จะคาดเดาได้ ปัจจัยที่สอง สงครามระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯลุกลามจนอาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมากกว่า 20% จากระดับปัจจุบันในช่วงไตรมาสแรก กระทบต่อเศรษฐกิจในตะวันออกกลาง กระทบต่อเศรษฐกิจในเอเชียโดยรวมจากการพึ่งพาน้ำมันดิบจากแหล่งตะวันออกกลาง ปัจจัยที่สาม ภาคการท่องเที่ยวของเอเชียและไทยอาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ที่มีระดับความรุนแรงในการแพร่ระบาดแบบเดียวกับโรคซาร์เมื่อ 17 ปีก่อน ไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในเรื่องดังกล่าวในไทยดีเท่าที่ควร ทำให้การป้องกันการแพร่ระบาดอาจไม่มีประสิทธิภาพ ปัจจัยที่สี่ ผลกระทบภัยแล้งจะกระทบต่อผลผลิตภาคเกษตรกรรมจนทำให้ปริมาณผลผลิตโดยรวมขยายตัวติดลบได้ คาดว่าติดลบประมาณ -0.5 ถึง -1% ทั้งปี โดยไตรมาสสองอัตราการขยายตัวของปริมาณผลผลิตอาจติดลบมากกว่า -1.5% ขณะที่ราคาผลผลิตบางส่วนจะปรับตัวสูงขึ้นจากอุปทานลดลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบจากขาดแคลนน้ำในนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก แม่น้ำโขง รวมทั้งแม่น้ำหลายสายในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบภาวะแห้งขอด และเป็นวิกฤติหายนะทางธรรมชาติที่รุนแรงที่สุด ขณะที่ ปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย ปัจจัยที่หนึ่ง เศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าโลกปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเล็กน้อย ส่งผลบวกต่อภาคส่งออกและภาคการท่องเที่ยวของไทยในระดับหนึ่ง ปัจจัยที่สอง การใช้งบประมาณปี 2563 เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและมีความจำเป็นในการเร่งรัดการใช้จ่ายจากระยะเวลาที่เหลืออีก 9 เดือนของปีงบประมาณ 2563 ปัจจัยที่สาม ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคที่ยังดีอยู่ ทั้งทุนสำรองระหว่างประเทศสูง หนี้สินต่างประเทศระยะสั้นต่ำ การเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด อัตราเงินเฟ้อต่ำ ปัจจัยที่สี่ การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและทางการคลัง ปัจจัยที่ห้า การเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจัยบวกเหล่านี้ไม่ทำให้เกิดการกระจายตัวของผลประโยชน์ไปยังประชาชนส่วนใหญ่และธุรกิจรายเล็กรายกลางมากนัก เพราะไทยไม่ได้ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง เศรษฐกิจยังคงมีการผูกขาดสูงขาดประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ตลาดการแข่งขันไม่เสรีจริง สังคมผู้สูงวัยทำให้ผลิตภาพโดยรวมปรับลดลง โครงสร้างเศรษฐกิจยังคงพึ่งพาภายนอกสูง เป็นต้น นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะไม่ได้ไปเน้นไปที่การสร้างงานสร้างรายได้ แต่เป็นเน้นการแจกเงินทำให้ประชาชนเสพติดประชานิยม ประชานิยมแบบนี้จะสร้างปัญหาฐานะทางการคลังในระยะต่อไป การกระตุ้นภาคการบริโภคติดข้อจำกัดหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงแตะ 80% ของจีดีพี ขณะที่ การกระตุ้นภาคการลงทุนอาจได้ผลบ้างเนื่องอัตราการใช้กำลังการผลิตในบางธุรกิจอุตสาหกรรมเริ่มปรับตัวสูงขึ้นจนอยู่ในระดับ 70-80% และจำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนอาจไม่สูงนักเนื่องจากมีการลงทุนส่วนเกินอยู่ ดอกเบี้ยต่ำช่วยประคับประคองการลงทุนได้ระดับหนึ่ง ควรผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมเนื่องจากยังไม่มีสัญญาณของปัญหาฟองสบู่ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เหตุการณ์หรือปัจจัยที่ต้องจับตาและติดตามในปีนี้ ได้แก่ เหตุการณ์หรือปัจจัยภายใน การอนุมัติงบประมาณปี 2563 และการอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนมกราคม การประมูล 5G การทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของไทย ในเดือนกุมภาพันธ์ สถานการณ์เลิกจ้างยังเกิดอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรกและไตรมาสสองปีนี้ การเลือกตั้งท้องถิ่นในเดือนมีนาคม เป็นต้น ส่วนเหตุการณ์หรือปัจจัยในต่างประเทศ ได้แก่ การเซ็นข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯกับจีน 15 ม.ค. เส้นตาย Brexit เดือนมกราคม การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้จีนช่วงครึ่งปีหลัง การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย เดือน ก.ค. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดือน พ.ย. เป็นต้น

ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวถึง ภาวะการลงทุนในตลาดการเงินจะยังคงได้รับผลบวกจากดอกเบี้ยต่ำและสภาพคล่องที่มีอยู่สูง การปรับขึ้นของราคาของสินทรัพย์เสี่ยงอาจไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจและผลการดำเนินของกิจการได้ ฉะนั้นนักลงทุนจึงต้องเลือกจังหวะการเข้าลงทุนและซื้อขายให้เหมาะสมและสอดคล้องกับพลวัตต่างๆที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,750-1,550 ในปี พ.ศ. 2563 โดยควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกิจการปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง พลังงาน อิเลคทรอนิกส์ และ สถาบันการเงินบางแห่ง กิจการบริการทางการแพทย์ เป็นต้น

การคาดการณ์ค่าเงินบาทว่า เงินบาทจะมีความผันผวนสูงอาจแข็งค่าอีกเล็กน้อยในช่วงไตรมาสแรกและอาจพลิกกลับมาอ่อนค่าได้หลังจากนี้จากภาวะเงินทุนระยะสั้นไหลออก ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจากสงครามในอ่าวเปอร์เซีย ดุลการค้าที่เกินดุลลดลงและอาจเริ่มขาดดุลหลังจากเกินดุลมาต่อเนื่องยาวนานหลายปี โดยคาดการณ์ว่า ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 29-31 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงไตรมาสแรก 30.50-31.50 ในไตรมาสสอง 29.50-30.50 ในไตรมาสสาม และ 31-32 ในไตรมาสสี่

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๙ เม.ย. บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๙ เม.ย. รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๙ เม.ย. กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๙ เม.ย. ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๙ เม.ย. กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๙ เม.ย. เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๙ เม.ย. สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๙ เม.ย. GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๙ เม.ย. เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๙ เม.ย. เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4