นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยกระตุ้นจากความตึงเครียดทางการค้าที่ผ่อนคลายลง นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เสถียรภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการกลับมาเก็บสะสมสินค้าคงคลัง จุดลงตัวทางเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่น่าจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ (new normal) ในขณะที่ความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีตามยุคสมัย สังคมผู้สูงอายุ และหนี้ครัวเรือน ยังไม่หมดไป เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยต่ำและการเติบโตต่ำ ส่วนภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินสำหรับเศรษฐกิจประเทศหลักๆ ธนาคารกลางทั่วโลกลดอัตราดอกเบี้ยลง และเพิ่มปริมาณเงินในระบบ ในขณะที่ธนาคารกลางประเทศหลักๆ กลับมาเริ่มโครงการซื้อพันธบัตรอีกครั้ง ในสหรัฐฯ การลดอัตราดอกเบี้ยและการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวส่งผลทำให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลง ซึ่งช่วยให้ต้นทุนทางการเงินในการซื้อที่อยู่อาศัยปรับลดลง และกระตุ้นกิจกรรมในภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าจะมีความรู้สึกเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนทั่วโลกในระยะสั้น แต่ยังคงมุมมองเชิงลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2563
เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.8% แต่อาจจะมี upside จากระดับสินค้าคงคลังที่ลดลงเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในแนวโน้มเติบโตต่ำ โดยหลังจากเติบโตสูงถึง 5.0% ใน 1Q61 อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยก็ชะลอตัวลงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ตัวเลขอัตราการขยายตัวของ GDP ล่าสุดใน 3Q62 ที่ 2.4% YoY และ 0.1% QoQ (ปรับฤดูกาล) อย่างไรก็ตามมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยง 3 อย่างในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย ความเสี่ยงอย่างแรก คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายสำหรับภูมิภาคและโลก ความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจจะเริ่มปรากฏให้เห็นหลังการเลือกตั้งขั้นต้นในเดือนมีนาคม หรือประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตในเดือนกรกฎาคม 2563 ความเสี่ยงอย่างที่สอง คือ ตลาดอาจจะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย การผ่อนคลายนโยบายการเงินจึงอาจจะเปลี่ยนเป็นมาตรการกระตุ้นทางการคลัง ความเสี่ยงอย่างที่สาม คือ ตลาดสินเชื่ออาจจะเปลี่ยนมามีสภาวะที่เอื้ออำนวยลดน้อยลงในปี 2563 สินเชื่อขยายตัวอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ (โดยเฉพาะในเอเชีย) และมีความกังวลเกี่ยวกับอัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในจีน มองว่าความเสี่ยงนี้เป็นความเสี่ยงสำคัญอย่างหนึ่งในตลาดสินเชื่อของเอเชีย
แม้ข้อมูลเศรษฐกิจภายในประเทศอ่อนแอลงและนักวิเคราะห์ในตลาดปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์การลงทุนปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากท่าทีผ่อนคลาย (dovish) นโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักๆ และความคาดหวังว่าโมเมนตัมเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น ในตอนนี้หุ้นปลอดภัยกำลังเป็นที่ต้องการ โดยซื้อขาย valuation ที่สูงขึ้น ในขณะที่หุ้นวัฏจักรซื้อขายที่ valuation ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคที่ปรับตัวดีขึ้นและความคืบหน้าที่ดีขึ้นในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนช่วยให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับหุ้นวัฏจักรซึ่ง position ยังคงเบาบาง กลุ่มหุ้นวัฏจักร เช่น ปิโตรเคมี โรงกลั่น และอิเล็กทรอนิกส์ น่าจะปรับตัว outperform เชื่อว่ากลุ่มธนาคารจะได้รับความสนใจมากขึ้น เมื่อพิจารณาจาก valuation ที่น่าสนใจ การบริหารจัดการเงินทุนได้อย่างเหมาะสม และการปรับปรุงค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับสูง เราคาดว่าจะมีการสับเปลี่ยนกลุ่มลงทุนมายังหุ้นวัฏจักรอย่างต่อเนื่องใน 1Q63-2Q63
แนะนำให้นักลงทุนคงสถานะการถือครองหุ้นปลอดภัยที่มีคุณภาพสูงสำหรับการลงทุนระยะยาว เนื่องจากเราอยู่ในช่วงปลายวัฏจักรเศรษฐกิจ (late cycle) ในขณะที่มองหาหุ้นวัฏจักรที่มีค่า beta สูงสำหรับพอร์ตซื้อขายระยะสั้น ด้วยเหตุนี้กลยุทธ์การลงทุนใน 1Q63 จึงมุ่งเน้นไปที่: 1) หุ้น global play ที่มีประเด็นกำไรฟื้นตัวควบคู่ไปกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยสนับสนุน 2) valuation น่าสนใจ และความเป็นไปได้สูงที่จะมีการ re-rate หลังจากถูกลงโทษมากเกินไปในปี 2562 และ 3) เซอร์ไพร้ส์เชิงบวกและการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น พร้อมกับประเด็นการเติบโตเฉพาะตัวในปี 2563
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนใน 1Q63 แนะนำให้ลงทุนเพิ่มในหุ้นวัฏจักรที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตได้ดี และ valuation น่าสนใจ top picks กลุ่มปิโตรเคมี (IVL), โรงกลั่น (TOP), ธนาคาร (TCAP, BBL) และการแพทย์ (BCH)