“สึนามิหนี้ครัวเรือน (ตอนที่ 2)” โดย ดร. กฤษฎา เสกตระกูล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อังคาร ๒๑ กรกฎาคม ๒๐๒๐ ๑๐:๔๒
บทความในตอนที่แล้ว ผมได้แสดงความห่วงใยถึงผลกระทบจากวิกฤติ Covid-19 ว่าจะส่งผลทำให้ขนาดของหนี้ครัวเรือนในระบบเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาก จากเดิมซึ่งอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว และได้ทดลองคาดการณ์ Scenario ต่างๆ จากเบาไปหาหนัก เพื่อประมาณการขนาดของหนี้ครัวเรือนที่เป็นไปได้จากเหตุการณ์นี้ แม้ผมจะเรียกว่า “สึนามิหนี้ครัวเรือน” แต่ในใจตนเองก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้เกิดขึ้นจริงเลย อยากบอกเป็นสัญญาณเตือนเพื่อให้เราเตรียมหามาตรการหยุดยั้ง หรือบรรเทาผลกระทบทางลบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต อย่าปล่อยให้สึนามินี้ถล่มประเทศเราแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความน่ากลัวและความเสียหายจากเหตุการณ์สึนามิถล่มภาคใต้หลายปีก่อน เป็นภาพอุปมาอุปไมยให้เราเห็นภาพเปรียบเทียบได้จากภัยธรรมชาติ เพียงแต่สึนามิหนี้ครัวเรือนนี้เป็นภัยจากเศรษฐกิจซึ่งมีต้นตอมาจากโรคระบาด Covid-19

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศขอให้ธนาคารพาณิชย์ จัดทำแผนบริหารจัดการระดับเงินกองทุนสำหรับระยะ 1-3 ปีข้างหน้า และระหว่างนี้ขอให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานในปี 2563 รวมถึงงดการซื้อหุ้นคืน เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์รักษาระดับเงินกองทุนให้เข้มแข็งและรองรับการทำธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ประกาศดังกล่าวนี้เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่เตือนว่า คุณภาพของสินทรัพย์ที่สำคัญของระบบธนาคารพาณิชย์ คือ ลูกหนี้อาจมีคุณภาพที่ด้อยลง จึงจำเป็นต้องเก็บกำไรหรือสินทรัพย์สภาพคล่องซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเงินกองทุนเอาไว้ในสภาวะแบบนี้ ตามหลักวิชาการแล้วธนาคารกลางจะมีเครื่องมือต่างๆ ไว้บริหารให้เกิดเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งความมั่นคงของระบบธนาคารพาณิชย์ก็คือหนึ่งในนั้น

อัตราส่วนอันหนึ่งที่ใช้ดูแลความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์ก็คือ % เงินกองทุน / สินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยถือเป็นการส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์รักษาฐานเงินกองทุนที่เป็นตัวเศษเอาไว้ เพราะถ้าในอนาคตขนาดของสินทรัพย์เสี่ยงที่เป็นตัวส่วนมีระดับเพิ่มขึ้น ก็จะกระทบความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์ได้ โดยปกติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และการซื้อหุ้นคืนนั้น ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินในตลาดทุนเพื่อใช้ดูแลมูลค่าหุ้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและนักลงทุน แต่เหตุการณ์วิกฤติที่จะส่งผลกระทบในอนาคตเร็วๆ นี้ การรักษาฐานเงินกองทุนในอนาคตจึงถือว่ามีความสำคัญมากกว่าการรักษามูลค่าหุ้น (ซึ่งสามารถมีเครื่องมืออื่นๆ ที่ใช้ได้อีก) เพราะหากความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์ลดลงก็จะกระทบทางลบต่อมูลค่าหุ้นของธนาคารพาณิชย์เหล่านั้นอยู่ดี ดังนั้นเรื่องนี้ ในความเห็นส่วนตัวผมสนับสนุนการดำเนินการธนาคารแห่งประเทศไทยครับ

ทั้งนี้เมื่อสัญญาณบอกว่า “สึนามิอาจมาก็ได้ ควรเตรียมรับมือ” ที่ผ่านมาถ้าสรุปเร็วๆ เราทำอะไรไปบ้าง 1) แช่เย็นลูกหนี้ไว้ชั่วคราว (ด้วยมาตรการผ่อนปรน) 2) รักษาฐานเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ แล้วเราพอจะทำอะไร หรือเตรียมพร้อมอะไรได้อีกก่อนพายุจะมา ผมขอลองเสนอเป็นแนวคิดดูนะครับ แต่ขอบอกก่อนว่าเป็นแค่แนวคิด ขอออกจากกรอบกฎหมายและกฏระเบียบเดิมชั่วคราวว่าจะทำได้หรือไม่ ไม่ได้บอกว่าให้ทำผิดกฎหมายนะครับ แค่คิดนอกกรอบเท่านั้น

ยืดระยะเวลาผ่อนปรนหนี้ออกไป (เพิ่มเวลาแช่เย็นให้นานขึ้น)

มาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาให้มีผลตั้งแต่ 1 เมษายน 2563 นั้น เป็นเรื่องที่ดีมากและถือว่าตอบสนองได้เร็ว ทันต่อเหตุการณ์ แต่หลายมาตรการในนั้น เช่น การพักชำระเงินต้นดอกเบี้ยหรือลดค่างวดการผ่อนของสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อบ้าน มีระยะเวลา 3-6 เดือน ซึ่งนานสุดตอนนี้ เมื่อรวมตามประกาศเรื่องนี้ในระยะที่ 2 ของธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะครบ ณ 31 ธันวาคม 2563

ตามความเห็นส่วนตัวของผม ลองเสนอว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะขยายมาตรการผ่อนปรนหนี้นี้ไปจนถึง 30 มิถุนายน 2564 เนื่องจากหลังการผ่อนคลายให้ระบบเศรษฐกิจลองกลับมาเดินได้แบบ New Normal ควรมีเวลากลับมาสำรวจกันก่อนว่า แรงงานซึ่งเป็นหนี้ครัวเรือนจะสามารถกลับเข้ามาในสภาพใดกันบ้าง เช่น บางส่วนว่างงานเต็มตัว บางส่วนกลับมาทำงานได้แต่รายได้ถูกลด บางส่วนกลับมาทำงานได้ รับรายได้ตามปกติ อีกทั้งต้องมีเวลาพอที่จะให้ผลของนโยบายและงบประมาณใหม่ที่รัฐบาลจะใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ได้ผล ซึ่งมาตรการเหล่านี้ผมว่าอยู่ในวิสัยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณายืดหยุ่นให้ได้ และภายใน 30 มิถุนายน 2564 เราควรสรุปสภาพของหนี้ครัวเรือนได้แล้ว ไม่ใช่เฉพาะขนาดเท่านั้น แต่ต้องแจกกลุ่มเป้าหมายด้วย เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาต่อไป

สนับสนุนให้สถาบันการเงินจัดตั้ง SPV (Special Purpose Vehicle) หรือนิติบุคคลเฉพาะกิจ เพื่อบริหารหนี้ส่วนบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ Covid-19

ผมมองเรื่องนี้เป็นเรื่องการพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (ESG) อย่างหนึ่งของสถาบันการเงิน ด้วยเหตุผลที่ว่า หากพ้นระยะเวลาผ่อนปรนหนี้ ลูกหนี้รายใดที่ขาดการชำระ 3 งวดติดกัน ก็จะเข้าข่ายการเป็นหนี้ NPL ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราใช้ Framework นี้มาจับกับผลกระทบจากเหตุการณ์ Covid-19 นี้ ออกจะไม่เป็นธรรมกับลูกหนี้นัก เพราะเหตุการณ์นี้เป็น “Shock” จาก “ภัยภายนอก” ไม่ได้เกิดจาก “ภัยภายใน” ซึ่งมาจากนิสัยหรือพฤติกรรมการชำระหนี้ที่ไม่ดีของลูกหนี้เป็นหลัก อีกประการหนึ่งลูกหนี้เหล่านี้ส่วนใหญ่ในภาวะปกติที่ผ่านมา ตอนที่เขาสามารถจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยให้สถาบันการเงินได้ ก็คือแหล่างรายได้สำคัญของสถาบันการเงิน ถือว่าสถาบันการเงินที่ผ่านมาก็เคยได้รับประโยชน์จากพวกเขา การจะตราสัญลักษณ์เป็น “หนี้ NPL” ไปปรากฏในชีวิตเขาตลอดไป เราจะเอาแบบนี้หรือครับ

ดังนั้นหากเราจัดแบ่งกลุ่มลูกหนี้ดีที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ออกมาได้ แทนที่เราจะเรียกเขาว่าเป็นกลุ่ม “ลูกหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL)” เราเรียกเป็นกลุ่ม “ลูกหนี้รอการฟื้นฟู (Rehabilitation Debt) ไม่รู้จะได้ไหม เราสามารถใช้ Know-how การปรับโครงสร้างหนี้ไม่ว่าจะเป็นการยืด การลด ก็ทำได้เช่นกัน แม้ว่าจะทำให้สถาบันการเงินได้รายได้ลดลงและช้าลง แต่ก็ไม่ถึงกับขาดทุนและขาดความสัมพันธ์กับลูกค้าไปเลย แต่กลับเป็นการช่วยรักษาฐานของลูกค้าไว้ในระยะยาว และเกิดผลลัพธ์ที่ดีทางสังคม ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกว่า

SPV (Special Purpose Vehicle) หรือนิติบุคคลเฉพาะกิจ ด้านการบริหารจัดการหนี้ส่วนบุคคล (Debt Rehabilitation Management) อาจเป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงินใด หรืออาจเป็นบริษัทร่วมทุนของสถาบันการเงินต่างๆ ก็ได้ เพื่อร่วมกันบริหารหนี้รอการฟื้นฟู การนำพอร์ตโฟลิโอหนี้รอการฟื้นฟูออกมาจากงบการเงินของสถาบันการเงินที่เป็นบริษัทแม่จะทำให้สถาบันการเงินมีความคล่องตัวมากขึ้น แต่ก็ยังไม่หมดความรับผิดชอบ นักลงทุนหรือผู้ถือหุ้นในสถาบันการเงินจะต้องยอมรับว่า ความสำเร็จในการบริหาร SPV นี้จะส่งผลต่อมูลค่าหุ้นของสถาบันการเงินด้วยในระยะยาว ซึ่งต้องคอย ในขณะที่ภาครัฐก็ไม่ต้องเข้าไปอุ้มโดยการออกพันธบัตรให้เป็นหนี้สาธารณะของประเทศเพื่อดูแลเช่นในอดีต

หากจัดการแบบนี้แล้วลูกหนี้ยังชำระไม่ได้ด้วยเหตุ “ภัยภายใน” ที่กล่าวข้างต้น คราวนี้ก็ต้องเข้าไปสู่กลไกที่มีอยู่ในการจัดการหนี้ NPL ซึ่งสถาบันการเงินมีวิธีอยู่แล้ว และยังมีบริษัทบริหารหนี้ หรือ AMC ที่มีอยู่ในปัจจุบันอยู่แล้วในระบบการเงิน คอยช่วยดำเนินการรับซื้อหนี้ NPL ไปบริหารต่อไป

ในช่วงเวลาที่เหลือ 1 ปี นับจากนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศของเรา ซึ่งกำลังแสวงหา “วิถีใหม่” ผมคิดว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนนี้ ผูกโยงกับอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศหลัง Covid-19 ซึ่งต้องร่วมมือกันทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งความมั่นคงของสถาบันการเงินและการเสียสละของสถาบันการเงินในการดำเนินธุรกิจแบบที่มีพอร์ตลูกหนี้ในรูปแบบใหม่ที่เดินช้าขึ้น นานขึ้น เห็นภาพวิถีใหม่ที่เราจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่ต้องจับมือกันจูงกันไป ค่อยๆ เดินไปด้วยกัน ช้าหน่อยแต่อบอุ่น ไม่ต้องแข่งขันกับใครหรอกครับ แค่นี้ผมว่าก็มีความสุขแล้ว

ติดตามบทความน่าสนใจเพิ่มเติมที่ "ห้องเรียนผู้ประกอบการ" www.set.or.th/enterprise

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๘ มี.ค. องค์การบรรจุภัณฑ์โลก จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ร่วมจัดกิจกรรมสัมมนาออนไลน์
๒๘ มี.ค. การแข่งขันกีฬาขี่ม้าโปโลรายการ King Power International Ladies' Polo Tournament 2024
๒๘ มี.ค. DEXON ปักธงรายได้ปี 67 ทะลุ 700 ลบ. โชว์ Backlog เฉียด 280 ลบ. ล็อคมาร์จิ้น 35-40%
๒๘ มี.ค. JPARK ร่วมงาน Dinner Talk ผู้บริหารจดทะเบียนพบนักลงทุน จ.ราชบุรี
๒๘ มี.ค. นีเวีย ซัน และ วัตสัน จับมือต่อปีที่สองชวนดูแลท้องทะเล กับโครงการ เพราะแคร์ จึงชวนแชร์ ร่วมพิทักษ์รักษ์ทะเลไทย
๒๘ มี.ค. Cloud เทคโนโลยีที่อยู่ใกล้ตัว เพียงแค่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง
๒๘ มี.ค. โรยัล คานิน ร่วมกับ เพ็ทแอนด์มี จัดงาน Royal Canin Expo 2024: PAWRENTS' DAY เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้นสำหรับน้องแมวและน้องหมา
๒๘ มี.ค. STEAM Creative Math Competition
๒๘ มี.ค. A-HOST ร่วมวาน MFEC Inspire ขึ้นบรรยายพร้อมจัดบูธ Cost Optimization Pavilion
๒๘ มี.ค. ฟินเวอร์! ส่องความคิ้วท์ 'ฟอส-บุ๊ค' ควงคู่ร่วมงาน Discover Thailand เสิร์ฟโมเมนต์ฉ่ำให้แฟนๆ ได้ดับร้อนกันยกด้อมรับซัมเมอร์ และร่วมส่งต่อความสุขในกิจกรรม 'Exclusive Unseen Food Trip กับ คู่ซี้