1. ลาบ ก้อยดิบ 2. ยำกุ้งเต้น 3. ยำหอยแครง 4. ข้าวผัดโรยเนื้อปู 5. อาหารที่ราดด้วยกะทิสด 6. ขนมจีน 7. ข้าวมันไก่ 8. ส้มตำ 9. สลัดผัก 10. น้ำแข็ง
จึงขอเตือนประชาชนควรปรุงอาหารให้สุกใหม่ อาหารค้างมื้อต้องอุ่นก่อนรับประทาน ผู้ประกอบอาหารและผู้บริโภคช่วยกันระมัดระวังให้อาหารสะอาด ไม่ปรุงทิ้งไว้นาน ควรเลือกร้านอาหารที่สะอาด และล้างมือก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
นายแพทย์ศรายุธ อุตตมางคพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยว่า ในช่วงปีพ.ศ. 2554 พบว่า จังหวัดศรีสะเกษมีผู้ป่วยสูงสุด จำนวน 44,697 ราย คิดเป็น 2,445.16 คนต่อแสนประชากร รองลงมาคือจังหวัดอุบลราชธานีมีผู้ป่วยอุจจาระร่วงสูงถึง 43,087 ราย คิดเป็นจำนวน 3,083.81 คนต่อแสนประชากร และมีผู้ป่วยจังหวัด สกลนครจำนวน 16,545 ราย(1479.16 คนต่อแสนประชากร) นครพนม จำนวน 15,724 ราย(2240.04คนต่อแสนประชากร) ยโสธรจำนวน 15,223 ราย ( 2,823.2 คนต่อแสนประชากร อำนาจเจริญ จำนวน 12,385 ราย (3,334.04 คนต่อแสนประชากร )และมุกดาหารมีผู้ป่วยจำนวน 7064 ราย ( 2,084.94 คนต่อแสนประชากร) เมื่อเปรียบเทียบค่ามัธยฐานย้อนหลัง 5ปี ถือว่าเป็นการระบาดของโรค แม้ว่าจะไม่มีผู้เสียชีวิตแต่ผลกระทบจากความเจ็บป่วยทำให้ทุกข์ทรมาน ส่วนหนึ่งต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล สูญเสียเงินทอง เวลา ในการทำมาหากิน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จะมีผลต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของเด็กได้
ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ได้กล่าวต่ออีกว่า ถ้าพี่น้องประชาชนหรือลูกหลานเจ็บป่วยท้องร่วง ต้องรู้จักดูแลตนเองให้ถูกต้องเบื้องต้น หากถ่ายเป็นน้ำเหลวไม่มีไข้ควรให้ถ่ายออกให้หมดและดื่มผงเกลือแร่เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย หากถ่ายเหม็นเป็นมูกเลือดคล้ายน้ำซาวข้าว ปวดท้องเหมือนลำไส้บิด ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ โดยเฉพาะเด็กเล็กควรดูแลใกล้ชิด สำคัญที่สุดอยู่ที่การป้องกันไม่ให้เกิดโรคด้วยการใส่ใจความสะอาด ระบบสุขาภิบาลที่ดีของบ้านและชุมชน และป้องกันด้วยการปฏิบัติ คือ “ การกินร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ ”
กรมควบคุมโรค โดย สคร.7 ห่วงใย อยากเห็นคนไทยสุขภาพดี