เสียงจากผู้รับ...ส่งถึงผู้ให้ 19 ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ

พฤหัส ๑๔ มีนาคม ๒๐๑๓ ๑๖:๕๑
จากหัวใจอันเข้มแข็งของ “แม่” ผู้ให้ โดย คุณสุภาภรณ์ ธังศิริ แด่ นายธิเบตธังศิริดิฉันทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลมานานมากเห็นความทุกข์ ความทรมาน ความโศกเศร้า เสียใจ ความสูญเสีย ทั้งของตัวผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย ทำให้เห็นคุณค่าของการมีชีวิต มีชีวิตแบบไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน สำหรับตัวดิฉันเคยปวดขาจนแทบทำงานไม่ไหว งานก็ต้องทำ ขาก็ปวด "อยากขอยืมขาใครสักคนมาใช้ก่อน เดี๋ยวคืนจะได้ไหม” แต่ในความเป็นจริงไม่มีทางทำได้ คิดแล้วจบ ทำงานต่อ (ปวดต่อไป) เคยเห็นญาติผู้ป่วยร้องไห้เหมือนใจจะขาดเมื่อต้องสูญเสียคนที่รัก เคยได้ยินคำร้องขอจากญาติบอกหมอว่า “ช่วยชีวิตลูกของ? แม่ของ? พ่อของ? หมอช่วยด้วย” รู้สึกเศร้าค่ะ..บางกรณีแม้แต่หมอก็ช่วยไม่ได้

วันหนึ่งในเดือนกันยายนปีที่แล้ว เพื่อนของลูกชายโทรศัพท์มาบอกว่า “เบตถูกฟัน ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล" คำว่า “หมอช่วยด้วย” กลับมาหาเราทันที เขาถูกฟันที่ศีรษะ แผลลึก เสียเลือดมาก สมองเริ่มสูญเสีย มีอาการกระตุกเป็นระยะ หมอบอกว่า “หมอว่าไม่ไหว อย่างดีก็เป็นเจ้าชายนิทรา” สักครู่หมอก็แจ้งว่า “หมอว่าไม่ไหวมากกว่านะพี่” ดิฉันจึงคิดและคิด ถ้าลูกเราไม่ไหวแล้ว ก็น่าจะช่วยคนอื่นเขา อวัยวะอย่างอื่นของต้นยังดีอยู่ ดิฉันจึงบอกกับต้นว่า “ช่วยคนเป็นครั้งสุดท้ายนะลูก บุญกุศลจะเกิดกับบุคคลผู้ทำความดี ผู้เสียสละ สังขารไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงที่อยู่ของจิต สุดท้าย…ชีวิตเราเอาอะไรไปไม่ได้ มีแต่จิตที่ดี จิตกุศลเท่านั้นที่จะติดเราไปทุกภพทุกชาติ คิดดี ทำดีไว้นะ พุทโธนะลูก”

ดิฉันเคยมีญาติ คนรู้จักและที่ไม่รู้จัก ที่รู้ว่าเราทำงานตรงนี้ ถามว่าการปลูกถ่ายอวัยวะทำอย่างไร เอามาจากไหน หมอแนะนำให้เขาปลูกถ่ายอวัยวะ…ทำไมถึงรอนานจัง/ต้องรออะไร?...เมื่อมาถึง วันนี้ การตัดสินใจบริจาคอวัยวะของผู้ที่เรารักให้กับบุคคลอื่นนั้น ดิฉันได้สัมผัสถึงความยินดีที่เกิดขึ้นในจิตใจ ที่เห็นคนมีความสุข เห็นรอยยิ้มของผู้รับ เห็นการรอคอยที่สมหวัง เห็นครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อ แม่ ลูก ปู่ ย่า ตา ยาย ใจยิ้ม ความสุขใจที่เป็นผู้ให้ในสิ่งที่เขาต้องการที่สุด เวลามองรูปของต้น ก็บอกกับลูกว่า “เราได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้วลูก เราเริ่มต้นถูกแล้ว เริ่มจากการเป็นผู้ให้และแบบอย่างที่ดี ถ้ามีใครทำตามต้นกับแม่ ก็ขอให้เกิดกุศลกับผู้นั้นติดตัวไปทุกภพทุกชาติ”

ปาฏิหาริย์ชีวิตใหม่

คุณสมนึก พิสัยพันธ์ อายุ 49 ปี

ผู้ได้รับการปลูกถ่ายไตและตับอ่อนเมื่อปี 2550

และได้การปลูกถ่ายตับอ่อนใหม่เมื่อปี 2553

หากไม่รู้จักเจ็บปวด ก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ คำๆ นี้ ยังติดตรึงใจผมตลอดเวลา ผมตั้งใจจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นงานที่ผมรัก และหลังจากที่ผมจบการศึกษา และได้เข้ามาทำงานที่ฝ่ายห้องปฏิบัติการที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และแต่งงานมีครอบครัวตั้งแต่อายุ 23 ปี มีบุตรสาว 1 คน บุตรชาย 1 คน ผมฝันว่า จะมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่กระนั้นเองสิ่งที่ผมวาดฝันไว้ ก็ไม่ได้ดั่งหวัง โดยผมได้หย่าร้างกับภรรยา เมื่อปี 2533 โดยผมรับหน้าที่ดูแลบุตรทั้ง 2 คนเอง และเริ่มมีโรคประจำตัว ปี 2528 เป็นเบาหวานชนิดต้องพึ่งยาอินซูลินชนิดฉีด (Insulin-dependent diabetes mellitus/IDDM ) โดยได้รักษากับอาจารย์อุไรวรรณ ที่ โรงพยาบาลศิริราช และต้องฉีดยาอินซูลินตลอด ต่อมาผมก็เริ่มมีภาวะความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุประมาณช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ในปี 2543 เจาะเลือดพบว่าการทำงานของไตผิดปกติ ตรวจรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไตวายเรื้อรัง จึงได้ทำผ่าตัดทำการล้างไตทางหน้าท้อง ตั้งแต่ปลายปี 2543 ล้างไตได้ประมาณ 2 ปี ต้องเปลี่ยนมาทำการฟอกเลือดเพื่อระบายของเสีย ในปี 2545 เนื่องจากพบการติดเชื้อจากสาเหตุการล้างไตทางหน้าท้อง ต้องเข้าไอซียู 8 ครั้ง/ปี ได้ทำการฟอกเลือด 3 ครั้ง/สัปดาห์ ทำทั้งในโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน เพราะเนื่องจากคิวในโรงพยาบาลรัฐไม่มี

ต่อมาในปี 2549 อาจารย์อุไรวรรณ ก็ได้แนะนำให้ไปพบอาจารย์สมชัย เนื่องจากโรคเบาหวานและโรคไตวายเรื้อรัง มีผลทำให้ตับอ่อนเสียหน้าที่สิ้นเชิง อาจารย์สมชัย ได้แนะนำให้ลงทะเบียนปลูกถ่ายอวัยวะไตและตับอ่อนกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภา กาชาดไทย ในปี 2548 ระหว่างนั้นยังคงรักษาแบบเดิมโดยฉีดยาอินซูลิน รักษาเบาหวานและฟอกเลือด รักษาโรคไต ช่วงนั้นร่างกายของผมอ่อนเพลียมาก หูอื้อ ไม่มีสมาธิทำงานเลย ได้กำลังใจจากภรรยาคนปัจจุบัน ซึ่งได้แต่งงานด้วยในปี 2546 ส่วนบุตร 2 คน ภรรยาคนแรกนำไปดูแล เพื่อให้ผมสามารถรักษาตัวได้ดียิ่งขึ้น แต่แล้ววันที่วิเศษที่สุดสำหรับผมก็มาถึง นั่นคือ วันที่มีผู้ใจบุญบริจาคอวัยวะ ไต และตับอ่อนให้กับผม พยาบาลโทรหาผมว่า ศูนย์รับบริจาคอวัยวะได้แจ้งว่ามีผู้บริจาคอวัยวะให้ หลังสิ้นเสียงของเจ้าหน้าที่ ใจผมจากที่เคยดับวูบ กลับมีอาการตื่นเต้นเป็นจังหวะ ความรู้สึกนี้ผมไม่เคยคิดว่าจะมีขึ้นมาจริงๆ ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ให้ผมขึ้นมาจากสงขลา เพื่อมารับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ โรงพยาบาลศิริราช

วันที่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นวันที่ผมจำขึ้นใจ ผมได้รับการปลูกถ่ายทั้งไตและตับอ่อนในเวลาเดียวกัน แต่ต่อมาหลังผ่าตัดได้ 7 วัน พบว่าตับอ่อนทำงานไม่ได้ดี และเสียการทำงานในที่สุด จึงต้องทำผ่าตัดออก ส่วนไตทำงานได้ดี และกลับไปรักษาเบาหวานโดยฉีดยาอินซูลินเหมือนเดิม และยังคงลงทะเบียนรอปลูกถ่ายตับอ่อนไว้อีก หลังจากผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะนั้น ทำให้ผมได้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยผมไม่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อล้างไต และร่างกายไม่อ่อนเพลีย มีสมาธิ และอารมณ์ดี ทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ และมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ต่อมาปลายปี 2553 ผมได้รับการปลูกถ่ายตับอ่อน ทำให้ผมไม่ต้องใช้ยาฉีดอินซูลินอีกต่อไป ผลเลือดน้ำตาลสะสมและค่าเอ็นไซม์ที่จับอินซูลินปกติ

ผมต้องขอบพระคุณในเมตตาจิตของผู้บริจาค และญาติผู้บริจาคที่ได้เห็นความสำคัญของคนเจ็บป่วยเรื้อรัง ขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน และทีมแพทย์ผมที่ช่วยทำให้ผมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องเป็นภาระของครอบครัวและสังคม ผมได้มีโอกาสบวชอุทิศส่วนกุศลให้แด่ผู้จากไป และรำลึกอยู่ในใจเสมอ ผมตั้งใจทำงาน และได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้จนได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น และข้าราชการดีเด่น

เด็กชายสุพระชัย อุณาภาค อายุ 7 ปี

ผู้ได้รับการปลูกถ่ายไต เมื่อปี 2555

เด็กชายสุพระชัย หรือน้องรีบอนด์ ผู้เป็นแก้วตาดวงใจของพ่อและแม่ น้องรีบอนด์ มีระบบการขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติตั้งแต่เกิด ปัสสาวะไม่สามารถขับถ่ายออกมาตามปกติ แต่จะไหลย้อนกลับไปที่ไต ทำให้เกิดอาการไตวาย ซึ่งในขณะนั้นแพทย์ได้วินิจฉัยว่า น่าจะมีอาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่มาตรวจพบอาการเมื่ออายุ 3 เดือน ซึ่งเกิดอาการไตวายแล้ว เมื่อได้ฟังจากหมอเช่นนั้น หัวใจของแม่แทบจะหยุดเต้น กลัวไปทุกสิ่งอย่าง แต่ความกลัวของคนแม่ก็มีความหวัง รอว่าสักวันหนึ่งจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับลูก

เริ่มแรกทางแพทย์ได้ทำการรักษาโดยผ่าตัดแก้ไขระบบปัสสาวะ ทำทางออกปัสสาวะไว้ข้างลำตัว เพื่อไม่ให้ไหลย้อนกลับ โดยหลังจากผ่าตัดไป 1 ปี ได้เย็บปิด และผ่าตัดแก้ไขระบบปัสสาวะครั้งที่ 2 เพื่อให้ปัสสาวะออกดีขึ้น ระหว่างนั้น น้องรีบอนด์ต้องดื่มนมสูตรพิเศษของโรงพยาบาลจนอายุ 4 ปี แต่อาการไตวายยังคงอยู่ ทีมแพทย์จึงวางแผนการรักษาด้วยการล้างไตทางช่องท้อง ซึ่งน้องรีบอนด์คงไปโรงเรียนได้ตามปกติ แต่จะมีอาการเหนื่อยง่าย อาเจียน ทานอาหารได้น้อยมาก ตัวบวม ตามผิวหนังมีคราบของเสียเกาะติด ปวดเมื่อยตลอดเวลา และที่สำคัญจะมีการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะบ่อย ทำให้น้องรีบอนด์ต้องหยุดเรียนเป็นระยะ ๆ เมื่อไม่สบาย แม่ต้องพาน้องไปล้างไตในช่วงเวลากลางคืน เพื่อที่น้องจะสามารถไปโรงเรียนได้ในเวลากลางวัน ตอนนั้นแม่สงสารน้องจับใจ คิดเสมอว่า อายุน้องเพียงเท่านี้ ทำไม่ต้องผ่านอุปสรรค์ ผ่านความเจ็บปวดมากมากมาย ถ้าแม่เลือกได้ก็ขอให้เกิดขึ้นกับแม่เองเสียด้วยซ้ำ

ต่อมาเมื่อล้างไตทางช่องท้องได้ปีกว่า แม่ก็ได้สมัครเข้าโครงการเปลี่ยนไต เพื่อรอรับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตใหม่ ซึ่งน้องรีบอนด์ต้องใช้เวลารอไตประมาณ 3 เดือน นับว่าโชคดีมากที่ใช้ระยะเวลาในการรอไตไม่นานมาก ระหว่างที่รอการบริจาคอวัยวะจากผู้เสียชีวิต แม่ก็พบว่าปาฏิหาริย์มีอยู่จริง น้องรีบอนด์ก็ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะได้แจ้งว่า คะแนนของผู้ป่วยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 11 ปี จะมีคะแนนในการรับการจัดสรรเพิ่มกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กต้องการการเจริญเติบโต เมื่อน้องรีบอนด์ทราบว่าตัวเองจะได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายไต น้องดีใจมาก และน้องบอกคุณแม่ว่า น้องจะได้ตัวสูงขึ้น และน้องจะได้เล่นกีฬาเสียที ...น้ำตาของความปลื้มปิติอาบข้างแก้มแม่ ในตอนนั้นแม่คิดอยู่เพียงว่า ขอบคุณผู้บริจาคอวัยวะจริงๆ ขอบคุณที่รักษาชีวิตลูกไว้ เพื่อลูกของฉันจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป

หลังได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายไต น้องมีสุขภาพที่ดีขึ้น ผิวหนังที่เคยมีคราบของเสียเกาะติดก็หายไป ผิวก็ขาวสะอาด อาการปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย อาเจียนก็หายไป น้องทานอาหารได้มากขึ้น แข็งแรงและมีความสุขเฉกเช่นเด็กปกติ และตอนนี้น้องศึกษาอยู่ชั้นประถมปีที่ 2 แล้ว ถ้าไม่มีผู้บริจาคอวัยวะในวันนั้น วันนี้แม่คงมีแต่ความทุกข์และความเจ็บปวด ที่เห็นลูกไม่มีความสุข ขอบคุณจริงๆ

คุณธนวันต์ สุขอนันต์ อายุ 46 ปี

ผู้ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจดวงใหม่ เมื่อปี 2555

หลังจากผมเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมได้เป็นพนักงานธนาคาร ผมมีความสุขกับชีวิต ทั้งเพื่อน ทั้งครอบครัว แต่สิ่งที่ผมไม่คาดฝันก็มาเกิดขึ้นกับผม คือเมื่อผมตรวจสุขภาพประจำปีตามปกติ แต่หลังได้รับการแจ้งเมื่อผลตรวจสุขภาพของทางธนาคารว่า เป็นโรคหัวใจโต ตอนนั้นผมรู้สึกสับสนกับชีวิต ไม่รู้มาก่อนว่า อาการโรคหัวใจโตมีผลร้ายแรงอย่างไร คืออะไร ทำไม่ผมถึงเป็นโรคนี้ได้ ในหัวของผมคิดวนเวียน อยู่กับคำพูดเหล่านี้ไม่หยุด และหลังจากนั้น อาการของผมเริ่มแย่ลงทุกที ผมมีอาการน้ำท่วมปอด เริ่มเดินไม่ไหว ชาไปทั้งตัว ผมจึงตัดสินใจไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แพทย์ได้แจ้งว่าหัวใจเต้นผิดปกติ และทำการรักษาเบื้องต้นโดยการใช้ยา แต่ว่าอาการกลับไม่ดีขึ้น ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้ง ทั้งเหนื่อย และอ่อนแรง เดินแทบไม่ไหว ตอนนั้นเหมือนผมเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอมากๆ ทั้งที่เราก็อายุไม่มาก แพทย์ให้การรักษาโดยการใส่เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ แต่อาการก็ยังแย่ลงอีก แพทย์ได้แนะนำว่าต้องรับการรักษาโดยการปลูกถ่ายหัวใจดวงใหม่ วินาทีนั้นที่คุณหมอพูด ยิ่งกลับทำให้ผมคิดว่าแล้วเราจะหาหัวใจมาได้อย่างไรละ

เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ที่ผมต้องเทียวเข้าออกโรงพยาบาลตลอดเวลา เป็นสองปีแห่งความผิดหวัง ของการเฝ้ารอ รอบางอย่างที่ไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่า นั้นคือปาฏิหาริย์ เฝ้าคิดวนเวียน ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ เรื่องแบบนี้จึงเกิดกับผม คิดอยู่ตลอดเวลา ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง แต่ระหว่างรอหัวใจดวงใหม่อยู่นั้น เมื่อได้รับแจ้งครั้งแรกว่ามีผู้บริจาคอวัยวะ แต่คุณธนวันต์ยังไม่พร้อมที่จะรับการผ่าตัด จึงขอรอก่อน และหลังจากนั้น อาการผมแย่ลงอย่างเห็นชัด เข้าออกโรงพยาบาลตลอด จากสถานะรอปกติ ต้องเปลี่ยนเป็นสถานะรอหัวใจด่วน ระหว่างรอ รู้สึกแย่มาก ผมมีอาการซึมเศร้าตลอดเวลา น้ำหนักลด ทานอาหารไม่ได้ อ่อนแรง และเพลีย ตอนนั้นผมผอมมาก และในที่สุดหลังจากที่ใช้เวลารอหัวใจครั้งนี้ประมาณ 2 เดือน ผมได้รับแจ้งจากแพทย์ว่า มีผู้บริจาคหัวใจดวงใหม่ให้แก่ผมแล้ว

ผมเข้าห้องผ่าตัดประมาณ 15.00 น. มารู้สึกตัวอีกครั้งเวลา 08.00 น. ของวันใหม่ ในห้อง ICU ซึ่งเป็นเช้าวันใหม่ที่ผมรู้สึกว่าท้องฟ้ามีความสดใสมากขึ้นกว่าวันอื่นๆ ผมใช้เวลาพักฟื้น 1 เดือนเต็มในโรงพยาบาล และพักฟื้นอีก 2 เดือนที่บ้าน หลังจากนั้น ผมก็สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ

ปัจจุบัน ผมได้กลับมาทำงานที่ธนาคารได้ตามเดิม หลังผ่าตัดรู้สึกแข็งแรงขึ้นกว่าก่อนไม่สบาย เดินหรือขึ้นบันไดก็ไม่เหนื่อยหอบ ออกกำลังกายได้นานกว่าเดิม ผมได้กลับมาเป็นเสาหลักของครอบครัวอีกครั้ง ผมมีความภูมิใจมากที่ผม จะไม่ทำให้ลูกๆ ขาดพ่อ ลูกทั้ง 2 คนของผมได้กลับมายิ้มได้อีกครั้ง ผมได้กลับมาเป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตดีเช่นเดิม ผมยังระลึกถึงผู้ที่ได้อุทิศหัวใจดวงนี้ให้ผม ไม่ว่าท่านผู้นั้นเป็นใคร แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกเจ้าของหัวใจดวงนี้ คือ ผมขอบคุณจริงๆ ครับ คุณทำให้ผมกลับมาเป็นพ่อของลูก ผมสามารถเลี้ยงลูกของผมให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ ผมเป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีความสุขที่สุดในตอนนี้

คุณศิริพงษ์ จันทร์แสง ปัจจุบันอายุ 31 ปี

ผู้ได้รับการปลูกถ่ายตับ เมื่อปี 2553

"ช่วงที่นอนรออวัยวะผู้บริจาคนั้น มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนยาวนานสำหรับผม” คำๆ นี้ เป็นอดีตที่ผมคิดซ้ำๆ ทุกวัน ทุกเวลา และแทบ จะทุกชั่วโมง และซ้ำร้ายไปกว่านั้น ช่วงเวลาที่ผมป่วยหนัก ภรรยาของผมเพิ่งคลอดบุตรได้เพียง 1 เดือน เท่านั้น ความรู้สึกดีใจที่ได้เป็นพ่อ แต่กลับถูกความรู้สึกปวดร้าว ถ้าภายภาคหน้าผมจะมีโอกาสได้อยู่ดูหน้าลูกของผมเขาโตขึ้นหรือเปล่า ซึ่งหากย้อนเวลาไป ผมก็เป็นเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ตั้งใจเรียน จบมาจะได้หางานดีๆ ทำ มีครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น หลังจากที่ผมจบการศึกษา และได้ทำงานในขณะนั้นอายุ 21 ปี ที่บริษัทน้ำตาลมิตรผล สาขาสุขุมวิท กรุงเทพ ฯ ตอนนั้นผม เริ่มป่วยมีอาการจุกแน่นท้อง หลังทานอาหาร ต่อมาอาการเป็นมากขึ้น หลังทานอาหารไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมง มีอาการปวดท้องมาก และอาเจียนอาหารออกหมด แต่หลังได้อาเจียนแล้วอาการทุเลาและดีขึ้น ไปตรวจหลายโรงพยาบาล รักษาตามอาการ แต่ไม่ดีขึ้น และต้องนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือและยาฆ่าเชื้อ ปีละประมาณ 1-2 ครั้ง

แพทย์ได้วินิจฉัยว่าเป็นถุงน้ำดีอักเสบ ผมได้รักษาต่อเนื่องเป็นเวลา 4-5 ปี แต่อาการก็กลับมาดังเดิม น้ำหนักลดลงเรื่อยๆ จาก 60 กิโลกรัม ผู้ชายปกติ หนัก 60 แต่กลับเหลือ 47 กิโลกรัม จนเมื่อ 2 ปีเศษที่ผ่านมา วันหนึ่งร่างกายอ่อนแอและเพลียมาก น้ำหนักลดเหลือ 36 กิโลกรัม มีอาการท้องบวมโต ตัว ตาเหลือง หายใจเหนื่อยเป็นพักๆ จึงได้หยุดงานไปพักฟื้นใกล้ญาติที่จังหวัดขอนแก่น และได้เข้านอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น แพทย์เอก ปักเข็ม แนะนำให้เข้าโครงการปลูกถ่ายอวัยวะ “ตับ” จากอาการเป็นมาก ตับเสียหน้าที่การทำงาน ผมจึงตัดสินใจโดยมิได้รีรอ เพราะเป็นโอกาสเดียวที่อาจจะทำให้ผมกับไปมีชีวิตที่ปกติเหมือนคนทั่วไปสักที ผมจะได้ไม่ต้องทรมานกับอาการป่วย ไม่ต้องเป็นภาระให้ใคร และอยากอยู่ช่วยภรรยาดูแลลูก

ช่วงที่นอนรออวัยวะผู้บริจาคนั้น มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนยาวนานสำหรับผม แต่ผมก็เฝ้ารออธิษฐานให้วันนั้นได้มาถึง วันที่มีผู้ใจบุญอุทิศสละอวัยวะ หลังจากที่เขาได้จากไปแล้ว วันนั้นผมจำไม่ได้หรอกว่าเป็นวันไหน เพราะผมไม่รู้สึกตัวมาหลายวันแล้ว มารู้สึกตัวอีกที ก็ผ่านไป 10 กว่าวันแล้ว ญาติเล่าให้ฟังว่า “แพทย์ได้มาแจ้งว่า ได้มีผู้บริจาคอวัยวะ และตับสามารถนำมาปลูกถ่ายให้กับผมได้ แต่ช่วงนั้นผมหลับไม่ได้สติ หลังจากทำผ่าตัดนอนที่ห้องไอซียูประมาณ 10 วัน และย้ายไปนอนพักฟื้นที่หอผู้ป่วยอีก 1 เดือน หลังจากนั้นแพทย์ให้กลับบ้านได้ และนัดมาตรวจตามนัดทุกๆ 1 เดือน ให้ทานยากดภูมิตามเวลา

ปัจจุบันผมน้ำหนัก 55 กิโลกรัม ผมเหมือนมีชีวิตใหม่ ได้มาใช้ชีวิตปกติ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เรารัก ผมต้องขอบคุณผู้บริจาคที่ได้เสียสละอุทิศอวัยวะที่มองดูแล้วอาจไม่มีค่า สำหรับคนที่ไม่ต้องรอคอยความหวังอะไร แต่ผู้คอยความหวังอย่างผม มันเหมือนแสงไฟที่มอดกำลังจะดับลง แล้วมีผู้ยื่นมือมาช่วยเติมเชื้อไฟให้ได้เปล่งแสงมีพลังอีกครั้ง ไม่รู้จะขอบคุณอีกกี่ครั้งจึงจะเทียบได้กับจิตกุศลของผู้ให้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๒ บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๗:๓๓ รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๗:๔๔ กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๗:๔๒ ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๗:๑๕ กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๗:๑๕ เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๗:๒๙ สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๗:๑๐ GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๗:๔๓ เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๖:๓๖ เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4