นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า จากสถานการณ์ข้อมูลโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา พบว่ามียอดผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาพบแต่ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคติดเชื้ออีโบลา เบื้องต้นพบบางรายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลบางแห่งที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ตระหนักถึงสถานการณ์ความรุนแรงการระบาดของโรคและได้มอบให้สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะจัดประชุมชี้แจงให้ความรู้แก่โรงพยาบาลเอกชนในเขตกรุงเทพฯ ไปแล้วจำนวน 3 ครั้งเพื่อให้เกิดความรู้และเตรียมความพร้อมในการเฝ้าระวังโรคและระบบการส่งต่อผู้ป่วยและยกระดับวางมาตรการคุมเข้มในโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ และเพื่อให้เกิดความคลอบคลุมจึงกำหนดจัดการประชุมชี้แจงแนวทางการวินิจฉัยและส่งต่อผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาสำหรับโรงพยาบาลเอกชน ในวันที่ 13 ตุลาคม 2557 ณ โรงแรมริชมอนด์ จ.นนทบุรี เพื่อให้โรงพยาบาลที่ยังไม่เคยเข้าร่วมประชุมให้เข้าร่วมรับทราบอย่างคลอบคลุมและเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่อย่างเคร่งครัด โดยเน้นใน 3 มาตรการดังนี้ 1.การควบคุมกำกับสถานพยาบาลเพื่อดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมรับมือกรณีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา 2.การติดตามสถานการณ์การระบาด แนวทางการปฏิบัติงานป้องกัน และการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา และ 3.แนวทางการวินิจฉัย ดูแลรักษาผู้ป่วยและควบคุมป้องกันการติดเชื้อ หากกรณีพบผู้ป่วย เข้าเกณฑ์สอบสอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศไทยให้แจ้งได้ที่ สายด่วน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โทร.1422 ทันที
นอกจากนี้ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดประชุมในครั้งนี้ เพื่อเป็นการระดมความคิดเห็น และกำหนดแนวทางในการเตรียมความพร้อมป้องกันในโรงพยาบาลเอกชนอย่างคลอบคลุม ในกรณีพบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาให้ควบคุมตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อและส่งต่อผู้ป่วยฯ ไปยังโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขอาทิ สถาบันบำราศนราดูรและโรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี ที่มีความพร้อมอย่างเข้มงวด โดยจะมีผู้เข้าประชุมจากโรงพยาบาลภาคเอกชนในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 5 จังหวัดได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร จำนวน 75 แห่ง และมีผู้เข้าร่วมประชุม 130 คน โดยเน้นย้ำให้โรงพยาบาลเอกชนทุกระดับเตรียมพร้อมตามมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความมั่นใจในประเทศไทย