รู้จักหรือยัง? 3-4-50 โมเดลสุขภาพ ปรับเปลี่ยน 3 พฤติกรรมเสี่ยงเพื่อลด 4 โรคเรื้อรัง อันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต 50% ของคนทั่วโลก

พุธ ๒๙ มิถุนายน ๒๐๑๖ ๑๕:๔๘
การมีสุขภาพดี ไม่มีโรคภัย นับเป็นสิ่งที่คนเราต้องการ แต่ทว่าฆาตกรเงียบซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่ของคนทั่วโลกมาจากกลุ่มโรค NCDs หรือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อ ซึ่งไม่สามารถแพร่กระจายไปสู่คนอื่นได้ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง ซึ่งกลุ่มโรคเหล่านี้นอกจากจะมีลักษณะร่วมคือ ไม่ติดต่อ และ เรื้อรัง แล้ว ยังมีลักษณะร่วมที่สำคัญมากอีกอย่างคือ ส่วนใหญ่เป็นโรคจากการทำร้ายตัวเองด้วยการใช้ชีวิตเสี่ยงจากการไม่ออกกำลังกาย ทานอาหารไม่มีประโยชน์ สูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป

ทั้งนี้ Oxford Health Alliance องค์กรเพื่อสุขภาพในประเทศอังกฤษ ได้ศึกษาและนำเสนอ "โมเดล 3-4-50" เพื่อการมีสุขภาพดีด้วยตัวคุณเอง นั่นคือ การปรับเปลี่ยน 3 พฤติกรรมเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดโรค คือ ทานอาหารไม่มีประโยชน์และลดความอ้วนแบบไม่มีคุณภาพ ออกกำลังกายไม่เพียงพอ และสูบบุหรี่ ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะช่วยป้องกัน 4 โรคเรื้อรังที่เกิดจากการใช้ชีวิตไม่เหมาะสม ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง และ โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต 50% ของคนทั่วโลก จากสถิติขององค์การอนามัยโลก

ในขณะที่รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2557 โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่าในปี พ.ศ. 2556 71% ของผู้เสียชีวิตในประเทศไทยหรือประมาณ 501,000 คน มีสาเหตุจากโรคกลุ่ม NCDs สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อย่างลาว ที่มีอัตราการเสียชีวิต 48% กัมพูชา 52% พม่า 59% ฟิลิปปินส์ 67% และต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาที่มีอัตราการเสียชีวิต 81% หรือสิงคโปร์ 76% จากโรคกลุ่ม NCDs สะท้อนว่าคนไทยและคนในหลายประเทศทั่วโลกมีปัญหาด้านพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงทำให้เป็นโรค

ทั้งนี้ มีการศึกษาวิจัยพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรค NCDs ของคนไทย พบว่า คนไทยใช้เวลาเฉลี่ย 13.5 ชม. ต่อวันไปกับการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์และกิจกรรมที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อย แต่ใช้เวลาเพียง 2 ชม. ต่อวันในการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น เดิน ทำงานบ้าน เดินทาง ฯลฯ20% ของค่าใช้จ่ายด้านอาหาร คือ ค่าอาหารสำเร็จรูปสัดส่วนของรายได้ที่นำมาใช้จ่ายกับอาหารประเภทแป้งและผักผลไม้ที่นำมาปรุงเองลดลงบริโภคอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล และเกลือสูง โดยปริมาณของแคลอรีจากการบริโภคอาหารไขมันสูงเพิ่มขึ้นในอัตรา 15% ระหว่าง พ.ศ. 2503-2546คนไทยมีอัตราการบริโภคเครื่องดื่มประเภทน้ำหวานและน้ำอัดลมสูงเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน หรือ 41 ลิตรต่อคนต่อปีหนึ่งในสามของคนไทยอายุระหว่าง 25-59 ปี ดื่มเครื่องดื่มประเภทน้ำหวานและน้ำอัดลมเป็นประจำทุกวันคนไทยอายุมากกว่า 15 ปี ที่สูบบุหรี่มีจำนวน 11.4 ล้านคนในปี พ.ศ. 2557 เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2556 ถึง 21%คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีอัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงกว่า 7.1 ลิตรต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 2 เท่าจะเห็นได้ว่า เพื่อลดอัตราการเกิดโรค NCDs คนไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทั้งการทำความเข้าใจสุขภาพ และรู้จักและเข้าใจสุขภาพของตน เพื่อการปรับปรุงสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

ดร. ปิยวัฒน์ เกตุวงศา อาจารย์และนักวิจัย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากผลการวิจัยและการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ จะต้องได้รับแรงกระตุ้น ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และความเคยชิน ปัจจุบันได้มีการนำเอาหลักเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมมาช่วยเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตทำได้ง่ายขึ้น โดยการ "สะกิด" หรือใช้แรงจูงใจ ที่มีผลต่อการตัดสินใจในกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันเพื่อนำไปสู่การมีสุขภาพดีในอนาคต

"บุคคลจำนวนมากประสบปัญหาไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อการดูแลรักษาสุขภาพบางคน อาจเพราะไม่มีความมุ่งมั่นหรือแรงบันดาลใจเพียงพอ ทำให้ถอดใจไปในระหว่างการดูแลรักษาสุขภาพ และคนจำนวนมากที่ถอดใจนี้ ในที่สุดก็ต้องตกเป็นเหยื่อของภาวะสุขภาพไม่ดีหรือโรคร้ายต่าง ๆ ซึ่งการมีสุขภาพดีต้องอาศัยความมุ่งมั่น การวางแผน การติดตามผลและการประเมินวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะการมีสุขภาพดีนั้น ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ค่าหมอค่ารักษาพยาบาล ค่ายา และค่าดูแลรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ลดลงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีชีวิต มีสุขภาพดี สามารถใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุก ๆ วัน" ดร.ปิยวัฒน์ กล่าวสรุป

สำหรับหลาย ๆ คนที่ประสบปัญหาในการเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้มีสุขภาพดี อาจต้องใช้วิธีหาแรงจูงใจที่จะช่วยรักษาพฤติกรรมที่ดีในการดูแลสุขภาพให้ยืนยาวเป็นทางออกในการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างได้ผล เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ในระยะยาวและนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของคุณเอง ซึ่งเราก็มีข่าวดีสำหรับคนที่กำลังมองหาแรงจูงใจที่ว่านี้ เพราะ เอไอเอ ประเทศไทย เพิ่งเปิดตัวโครงการ เอไอเอ ไวทัลลิตี้ (AIA Vitality) ไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะสร้างแรงจูงใจให้คุณหันมาปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น ด้วยสิทธิประโยชน์มากมายจากพันธมิตรในโครงการ เตรียมพบรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการนี้จาก เอไอเอ ได้เร็วๆ นี้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๘ มี.ค. องค์การบรรจุภัณฑ์โลก จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ร่วมจัดกิจกรรมสัมมนาออนไลน์
๒๘ มี.ค. การแข่งขันกีฬาขี่ม้าโปโลรายการ King Power International Ladies' Polo Tournament 2024
๒๘ มี.ค. DEXON ปักธงรายได้ปี 67 ทะลุ 700 ลบ. โชว์ Backlog เฉียด 280 ลบ. ล็อคมาร์จิ้น 35-40%
๒๘ มี.ค. JPARK ร่วมงาน Dinner Talk ผู้บริหารจดทะเบียนพบนักลงทุน จ.ราชบุรี
๒๘ มี.ค. นีเวีย ซัน และ วัตสัน จับมือต่อปีที่สองชวนดูแลท้องทะเล กับโครงการ เพราะแคร์ จึงชวนแชร์ ร่วมพิทักษ์รักษ์ทะเลไทย
๒๘ มี.ค. Cloud เทคโนโลยีที่อยู่ใกล้ตัว เพียงแค่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง
๒๘ มี.ค. โรยัล คานิน ร่วมกับ เพ็ทแอนด์มี จัดงาน Royal Canin Expo 2024: PAWRENTS' DAY เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้นสำหรับน้องแมวและน้องหมา
๒๘ มี.ค. STEAM Creative Math Competition
๒๘ มี.ค. A-HOST ร่วมวาน MFEC Inspire ขึ้นบรรยายพร้อมจัดบูธ Cost Optimization Pavilion
๒๘ มี.ค. ฟินเวอร์! ส่องความคิ้วท์ 'ฟอส-บุ๊ค' ควงคู่ร่วมงาน Discover Thailand เสิร์ฟโมเมนต์ฉ่ำให้แฟนๆ ได้ดับร้อนกันยกด้อมรับซัมเมอร์ และร่วมส่งต่อความสุขในกิจกรรม 'Exclusive Unseen Food Trip กับ คู่ซี้