ผลวิจัยล่าสุดชี้ทั่วโลกต้องแสวงหาแนวทางใหม่รับมือโรคความดันโลหิตสูง

อังคาร ๒๗ กันยายน ๒๐๑๖ ๐๘:๒๘
คณะกรรมาธิการ The Lancet Commission on Hypertension เรียกร้องให้ทั่วโลกปรับปรุงแนวทางการรักษาโรคความดันโลหิตสูง โดยระบุว่ายังมีตัวแปรหลายอย่างที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ซึ่งถ้าหากจัดการได้ก็จะช่วยลดภาระที่เกิดจากโรคความดันโลหิตสูง อันเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก

ตัวแปรดังกล่าวครอบคลุมถึงวิธีที่ใช้ในการวัดความดัน รวมถึงปริมาณเกลือในอาหารที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย

ระหว่างการประชุมทางวิทยาศาสตร์ของ International Society of Hypertension (ISH) ซึ่งจัดขึ้นในวันนี้ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ทางคณะกรรมาธิการได้เปิดเผยรายงานที่ระบุว่า โรคความดันโลหิตสูงมักถูกมองข้าม เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการทั้งยังไม่ค่อยมีการตรวจวินิจฉัย และแม้ว่าวงการแพทย์จะทราบดีถึงวิธีการป้องกันและรักษาโรคความดันโลหิตสูง แต่ผู้ใหญ่กว่า 30% ทั่วโลกก็ยังเป็นโรคนี้

สจ๊วต สเปนเซอร์ บรรณาธิการบริหารอาวุโสของวารสาร The Lancet กล่าวว่า "ความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด และมักไม่ได้รับการรักษา รายงานของเราได้เผยให้เห็นถึงตัวแปรที่ยังไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม เช่น การเข้าถึงการวินิจฉัยและรักษาโรคของประชากรในประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงวิธีการใหม่ๆในการรับมือกับโรคทั้งในระดับบุคคลและระดับสาธารณสุข"

ศาสตราจารย์นีล โพลเตอร์ ว่าที่ประธาน ISH กล่าวว่า "เรายินดีที่ทางคณะกรรมาธิการเลือกเปิดเผยรายงานฉบับสำคัญในการประชุมของเรา ปัจจุบัน โรคความดันโลหิตสูงกำลังเป็นปัญหาในวงกว้าง เราจึงจำเป็นต้องสร้างความตื่นตัวในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและผู้คนทั่วไปในระดับโลก"

"สาเหตุสำคัญของโรคความดันโลหิตสูง คือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ การออกกำลังกายน้อยลง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น การบริโภคอาหารที่มีเกลือและแคลอรีสูง รวมถึงการบริโภคผักและผลไม้น้อยลง พฤติกรรมเหล่านี้ผนวกกับอายุที่มากขึ้น จะทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น เราจำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่ ซึ่งทำได้ด้วยการพัฒนาองค์ความรู้และวิธีการวินิจฉัยโรคที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น"

ทางคณะกรรมาธิการได้ทำการศึกษาสาเหตุของโรคและหลักฐานที่ได้จากการทดลอง เพื่อเน้นให้เห็นว่าจุดใดที่มีการศึกษาเข้มแข็งดีแล้วและจุดใดที่ต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม นอกจากนี้ ทางคณะกรรมาธิการยังคาดการณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจะปรับตัวสูงขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำและประเทศที่มีรายได้ปานกลางบางประเทศหากไม่มีการดำเนินการอย่างเหมาะสม ด้วยเหตุนี้ จึงมีการเรียกร้องให้แสวงหาวิธีใหม่ๆในการรักษาผู้ป่วย โดยอ้างอิงจากการวิจัยอันแข็งแกร่ง รวมถึงเร่งดำเนินการวิจัยเพิ่มเติมเพื่ออุดช่องโหว่ด้านความรู้ โดยทางคณะกรรมาธิการได้พัฒนาแผนปฏิบัติการ 10 ประการขึ้นมา โดยหวังให้รัฐบาลทั่วโลกนำไปใช้เพื่อลดภาระอันเกิดจากโรคความดันโลหิตสูง

สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่

http://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS0140-6736(16)31134-5/fulltext

ที่มา: International Society of Hypertension

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๙ เม.ย. บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๙ เม.ย. รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๙ เม.ย. กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๙ เม.ย. ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๙ เม.ย. กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๙ เม.ย. เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๙ เม.ย. สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๙ เม.ย. GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๙ เม.ย. เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๙ เม.ย. เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4