นพ.อัครพงศ์ แสนเรือง อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการ โรงพยาบาลหัวเฉียวกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์แล้ว เรียกได้ว่าหันไปทางไหนก็ต้องเจอผู้สูงอายุเป็นเรื่องปกติ ภาครัฐและเอกชนต่างก็เริ่มให้ความสำคัญกับประชากรกลุ่มนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเอื้ออำนวยความสะดวก การบริการ สิทธิประโยชน์ต่างๆ จึงทำให้สภาพสังคม สภาพแวดล้อม สาธารณสุขดีขึ้นตามลำดับ แต่สิ่งที่ผู้สูงอายุต้องการจริงๆ อาจไม่ใช่ความสะดวก การบริการ หรือสิทธิประโยชน์ แต่เป็นความรัก ความเอาใจใส่จากคนในครอบครัว
แต่ด้วยลูกหลานต่างมีภาระหน้าที่ ต้องออกไปทำงานจึงอาจไม่มีเวลาให้กับผู้สูงอายุมากเท่าที่ควร จึงส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้สูงอายุ ที่จะรู้สึกว้าเหว่ อ้างว้าง วิตกกังวล กลัวว่าจะถูกทอดทิ้ง อีกทั้งวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนคนไทยจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ทำให้เกิดความรักที่แน่นแฟ้น ความอบอุ่น แต่ปัจจุบันครอบครัวคนไทย โดยเฉพาะเขตเมืองจะเป็นครอบครัวเดี่ยว ขนาดเล็ก และลูกหลานจะทำงานในเมืองทิ้งผู้สูงอายุให้อยู่บ้านเพียงลำพังไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องอย่างเหมาะสม
ดังนั้นครอบครัวที่มีผู้สูงอายุควรหันมาให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุมากขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้สูงอายุได้ใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายของชีวิตโดยมีคนในครอบครัวเป็นทั้งความสุข ความรักและที่พึ่งของพวกเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย
ปัจจุบัน โรงพยาบาลหัวเฉียว เปิดให้บริการ "บ้านสุขใจ" เป็นบ้านสำหรับผู้สูงอายุ จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริม การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความสุขกายสบายใจ อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ด้วยบุคลากรที่มีความรักในผู้สูงอายุดุจญาติผู้ใหญ่ จึงเป็นการแบ่งเบาภาระการปรนนิบัติของบุตรหลานที่ไม่มีเวลาดูแลใกล้ชิด นอกจากนี้ยังเป็นการลดความวิตกกังวลของบุตรหลานในกรณีเกิดปัญหาสุขภาพ โดยทีมแพทย์ พยาบาล และสหวิชาชีพที่พร้อมดูแลอย่างทันท่วงที