ปัญหาและสาเหตุ ฝุ่นควันพิษในภาคเหนือมีสาเหตุที่แตกต่างไปจาก กทม. โดยมาจากการลักลอบเผา ไฟป่า การเผาตอซังเกษตรและการเผาในที่โล่ง การเผาไหม้เชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ และฝุ่นควันจากประเทศใกล้เคียง เนื่องจากในฤดูร้อนจะเกิดการทับถมของใบไม้และกิ่งไม้จำนวนมาก จึงกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีและยากต่อการควบคุม เปรียบเทียบพื้นที่ไฟป่า 9 จังหวัดภาคเหนือ ในช่วงระหว่าง 1 ต.ค. – 27 มี.ค. ในพื้นที่ภาคเหนือ ปีงบประมาณ 2562 จำนวน 49,565 ไร่ และปี 2561 จำนวน 28,118 ไร่ จนรัฐบาลมีคำสั่งคลี่คลายปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อลดฝุ่นควันและจุดความร้อน Hot Spot สถิติประเทศไทยมีการปลูกข้าวโพดกว่า 7ล้านไร่ เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้วิธีเผาเพื่อเตรียมเพาะปลูกใหม่ นอกจากสร้างมลพิษแล้วยังทำให้ดินเสียหาย ถึงเวลาที่เกษตรกรไทยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ มาใส่ใจและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น โดยใช้วิธีไถกลบเป็นปุ๋ยแทนการเผาทำลาย หรือแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ภาครัฐควรใช้กลไกที่เข้าถึงระดับรากหญ้า ถ้าไม่ให้เผาทำลาย จะทำอย่างไรที่จะไม่มีภาระค่าใช้จ่ายมากเกินไป เช่น ควรจัดหาอุปกรณ์เครื่องจักรกลางหรือบริการเช่าไถกลบในราคาไม่แพง ส่งเสริมนำซังข้าวโพดมาผลิตเป็นถ่านอัดแท่ง นำมาแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ และนำเปลือกข้าวโพดมาหมักใช้เป็นอาหารสัตว์ เป็นต้น ในด้านการฟื้นฟูคุณภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ควรเพิ่มพื้นที่สีเขียวในทุกจังหวัดด้วยความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน ตัวอย่างประเทศจีน เร่งโครงการปลูกป่าในระยะเวลา 5 ปีนี้ ครอบคลุมพื้นที่ถึง 70,000 ตร.กม. ซึ่งมีอาณาเขตกว้างกว่าขนาดประเทศฝรั่งเศส
ส่วนปัญหาฝุ่นพิษในกรุงเทพมหานครนั้น ขณะที่ประเทศไทยมียอดจดทะเบียนรถยนต์สะสมประมาณ 20 ล้านคัน ในจำนวนนี้ 10.3 ล้านคัน จดทะเบียนในกรุงเทพฯ และเป็นรถเครื่องยนต์ดีเซล 2.6 ล้านคัน ซึ่งใช้มาตรฐานไอสียยูโร 1,2,3,4 หากใช้เทคโนโลยีที่ดีขึ้นเป็นยูโร 5 ก็จะช่วยลดปริมาณฝุ่นควันจากท่อไอเสีย ทางกระทรวงอุตสาหกรรมควรเร่งรัดความร่วมมือกับ 12 ค่ายรถยนต์ให้เป็นจริงโดยเร็ว เช่น ยกระดับการผลิตรถยนต์มาตรฐานยูโร 5 สำหรับรถยนต์ทุกคันภายในปี 2564 และวางแผนเตรียมยกระดับเป็นมาตรฐานยูโร 6 ภายในปี 2565 เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยสามารถลดการปล่อยฝุ่นละอองที่เป็นพิษจากรถยนต์ใหม่ลงได้ถึง 80% ทั้งนี้สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้เรียกร้องการผลิตน้ำมันระดับยูโร 5 ด้วย เพราะทั้งรถเก่าและรถที่ขายในปัจจุบันหากใช้น้ำมันระดับยูโร 5 ก็จะสามารถลดมลพิษได้ทันที รวมถึงการยกระดับใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 ในรถยนต์ดีเซล จะทำให้การจุดระเบิดของเครื่องยนต์ง่ายขึ้น การเผาไหม้ดีขึ้น เครื่องสตาร์ทติดง่าย และการหล่อลื่นที่ดีกว่า ซึ่งช่วยลดการปล่อยควันดำสาเหตุของฝุ่น PM 2.5 ทั้งนี้จะต้องมีการเตรียมความพร้อมทุกด้าน ทั้งผู้ผลิตรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และบริการน้ำมันยูโร 5 อย่างทั่วถึง และรัฐบาลต้องเข้มงวดในการตรวจสภาพรถยนต์เก่า โดยใช้มาตรการตรวจสอบการปล่อยไอเสียอย่างจริงจังและเก็บภาษีรายปีเพิ่มขึ้นเพื่อจูงใจให้ผู้ใช้รถเปลี่ยนซื้อรถคันใหม่แทนการเสียค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาที่สูงเกินไป
ทั้งนี้ในที่ประชุมเสวนา วสท.ได้สรุปข้อเสนอแนะการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ต่อรัฐบาลใหม่ ดังนี้
1.มาตรการด้านรถยนต์ ได้แก่การปรับเปลี่ยนมาตรฐานน้ำมันและเครื่องยนต์เป็นยูโร 5 และ 6 ภายใน 4 ปี, ผลักดันให้รถขนส่งธารณะและรถยนต์พ่วงบรรทุกขนาดใหญ่ใช้ NGVหรือเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์ยูโร 5, ในเขต กทม.เมื่อรถไฟฟ้าครบ Loop ต้องจำกัดปริมาณรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน เช่น ต้องมีที่จอดรถเท่านั้นถึงจะจดทะเบียนได้,ส่งเสริมและจูงใจการลงทุนการผลิตรถเครื่องยนต์ไฟฟ้าจากภาคเอกชน,ห้ามรถเครื่องยนต์ดีเซลอายุเกิน10ปีวิ่งในเขตกรุงเทพและปริมลฑล,กำหนดให้รถเครื่องยนต์ดีเซลติดตั้ง Diesel Particulate Filter หรือ DPF,ควบคุมการจราจรไม่ให้ใช้รถยนต์ เช่น ลดราคาค่ารถไฟฟ้าและลดโดยสาร ห้ามจอดรถริมถนน จำกัดที่จอดรถในเมือง กำหนดเลนจักรยาน จำกัดปริมาณมอเตอร์ไซด์ส่วนบุคคล ปิดลานจอดรถตามหน่วยงานรัฐ เข้มงวดการจอดรถยนต์ริมถนน เป็นต้น
2. มาตรการด้านโรงงานอุตสาหกรรมและกิจกรรมใช้ฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิง ได้แก่ การกำหนดค่ามาตรฐานการปล่อยฝุ่นที่ปลายปล่องใหม่โดยกำหนดเป็นค่าLoading (ความเข้มข้น*อัตราการปล่อย)คือในช่วงปกติและช่วงฤดูหนาว( พฤศจิกายน-มีนาคม),เพิ่มประเภทโรงงานเพื่อให้ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัตโนมัติที่ปลายปล่อง ,เก็บภาษีการปล่อยมลพิษทางอากาศ
3. มาตการลดการเผาในที่โล่ง ได้แก่ กำหนดช่วงเวลาห้ามเผาขยะ ชีวมวล วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรให้ชัดเจน และกำหนดมาตรการจูงใจเพิ่มเติม, รัฐสร้างเตาเผาที่มีระบบควบคุมมลพิษทางอากาศในแต่ละพื้นที่เพื่อประชาชนใช้ร่วมกันโดยมีหน่วยราชการดูแลอย่างใกล้ชิด, ภาครัฐส่งเสริมวิธีการที่เป็นมิตรกับ สวล. เช่น การไถกลบวัสดุทางการเกษตร การทำปุ๋ยหมัก การทำก๊าซชีวมวล เป็นต้น ประเทศไทยต้องอาศัยกลไกในฐานะการเป็นประธานอาเซียนนำเรื่องการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนเป็นวาระสำคัญในการพิจารณาของอาเซียนตลอดจนรัฐบาลไทยต้องจัดให้การแก้ไขปัญหาหมอกควันเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดการปัญหานี้ให้ได้, ต้องทำความเข้าใจและเข้าถึงประชา ชนรากหญ้าที่ทำการเผาทุกพื้นที่โดยต้องทราบถึงปัญหาของเขาอย่างแท้จริงและถ้าไม่เผาจะร่วมมือกับรัฐอย่างไร รัฐจะช่วยเหลืออะไร ซึ่งต้องอาศัยกลไกของอำเภอ ตำบลและหมู่บ้านในระดับกำนัลและผู้ใหญ่บ้านต้องขับเคลื่อนดูแลพื้นที่ตนเองรวมทั้งใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดด้วยโดยมีตัวชี้วัดคือจำนวน Hotspot ต้องลดลง, ต้องหารือและจัดการกับทุนใหญ่ไม่ให้รับซื้อข้าวโพดและพืชไร่ที่มาจากพื้นที่ที่ทำการเผาทั้งในและนอกประเทศรวมทั้งตรวจสอบหากพบว่าผู้ประกอบการรายใดสนับสนุนและอยู่เบื้องหลังการเผาต้องแอนตี้สินค้าและดำเนินคดี
4. ผังเมืองและพื้นที่สีเขียว ได้แก่ การควบคุมการขยายตัวของอาคารสูงตามแนวรถไฟฟ้าและถนนที่ตัดขึ้นใหม่ให้มีระยะห่างช่องทางของลมพัดผ่าน, การเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพิ่มต้นไม้ในเมือง (City Garden) ทั้งแนวเส้นทางจราจรและสวนสาธารณะให้ได้อย่างน้อย 9.0 ตร.ม./คน เป้าหมายคือ 15 ตร.ม./คน, ริมเส้นทางจราจรที่เปิดใหม่ให้นำสายไฟและสายอื่นๆ ลงใต้ดินและปลูกต้นไม้แทน
5. การบริหารจัดการ จัดทำ Action plans ให้มีรูปแบบของการจัดการภัยพิบัติ เพื่อตอบโต้กรณีฉุกเฉินทางมลพิษทางอากาศในช่วง Winter smog ให้ชัดเจน, มีศูนย์บัญชาการตอบโต้โดยให้ผู้ว่าการจังหวัดเป็น Commander และหน่วยงานต่างๆ ร่วมสนับสนุน, ให้ภาคประชาชน ชุมชนและนักวิชาการเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินการทั้งทางตรงและทางอ้อม, สร้างความรู้ความเข้าใจต่อประชาชน ทำงานอย่างโปร่งใส ใส่ใจต่อสุขภาพของประชาชนเป็นหลักและต้องบอกความจริงเป็นระยะ, เป้าหมายทุกมาตรการนำไปสู่การลดค่ามาตรฐานฝุ่น 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมงที่กำหนดไว้ 50 มค.ก./ลบ.ม. ให้เป็น 35 มค.ก./ลบ.ม. ภายในระยะเวลา 3 ปี