บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ร่วมกับโรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี และ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา จัดอบรมเพิ่มความรู้ให้แก่ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู ที่ศูนย์วิจัยและปฏิบัติการเรียนรู้และพัฒนาเด็กเล็ก คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี ในหัวข้อ'ช่วยด้วย! ลูกสำลัก ของติดคอ’เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อสานต่อโครงการวัคซีนพ่อแม่(Community Caring by BDMS) พร้อมส่งต่อความรู้ เทคนิคการดูแลที่จำเป็นสำหรับเด็ก ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดผ่านบุคคลากรทางการแพทย์ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านต่าง ๆ จากเครือ BDMS
ในแต่ละปีเรามักจะได้เห็นข่าว หรือเรื่องราวของเด็กที่เสียชีวิตจากของเล่น หรือ สิ่งของขนาดเล็ก อย่าง กระดุม เข็มกลัด ลูกปัด เหรียญ ตัวต่อพลาสติก ฯลฯ ที่เข้าไปอุดตันทางเดินหายใจหรือทางเดินอาหาร และถูกแชร์ต่อ ๆ กันบนโลกโซเชียลเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้แก่คนทั่วไปอยู่เสมอ ซึ่งปัจจัยหนึ่งเกิดจากการละเลย หรือ ความประมาทจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง ประกอบกับธรรมชาติของเด็กซึ่งมีความซุกซน ช่างสงสัย และในช่วงอายุหนึ่งจะมีพฤติกรรมที่มักหยิบฉวยสิ่งของต่าง ๆ เข้าปากอยู่เสมอ ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดการอุดตันได้
นอกจากของเล่นที่สามารถทำให้เกิดอันตรายได้แล้ว การรับประทานอาหารในเด็กก็มีความสำคัญและไม่ควรชะล่าใจเช่นกัน โดยไม่ควรให้เด็กเล็กรับประทานอาหารที่มีลักษณะเป็นเส้นเรียวยาว มีลักษณะกลม ลื่น หรือแข็ง เช่น ลูกชิ้น ไส้กรอก อาหารประเภทเส้น หรือผลไม้ที่มีเมล็ด เช่น แตงโม เงาะ ลำไย ส้ม เป็นต้น
แพทย์หญิงพรพรรณ กสิเสรีวงศ์ ได้แนะวิธีการป้องกันเบื้องต้นไว้ ดังนี้“การป้องกันเด็กสำลัก เนื่องจากมีสิ่งแปลกปลอมไปอุดตามทางเดินหายใจหรือหลอดอาหารได้ดีที่สุดคือ การให้อาหารอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามวัยของเด็ก เช่น อายุต่ำกว่า 6 เดือน ห้ามให้อาหารที่เป็นชิ้นแข็งๆ เด็ดขาด และควรใส่ใจสร้างวินัยการรับประทานอาหารที่ดีให้กับเด็กตั้งแต่ยังเล็ก สำหรับของเล่นเด็กเล็ก ไม่ควรให้เด็กเล่นของเล่นที่เล็กกว่า 3 เซนติเมตร เพื่อป้องกันการกลืนของเล่น ขนาดจึงควรยาวมากกว่า 6 เซนติเมตร รวมถึงของเล่นที่มีลักษณะเป็นสายยาว ความยาวของสายไม่ควรเกิน 22 เซนติเมตร”
โดยในกรณีที่เกิดเหตุการณ์สิ่งของอุดตันทางเดินหายใจและหลอดอาหารนั้น จะมีวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยเริ่มจากการประเมินอาการก่อนซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระดับได้แก่
ระดับแรก - เด็กสามารถพูดหรือสามารถส่งเสียงได้อยู่ สีหน้าไม่ออกเขียวหรือซีด ควรแก้ไขเบื้องต้นด้วยการ ให้เด็กไอแรง ๆ เพื่อที่เศษอาหารหรือสิ่งของจะได้หลุดออกมา หรือ อ้าปากเด็กดูหากพบว่าเศษอาหารอยู่ในระยะที่สามารถหยิบออกได้ ควรจะหยิบหรือคีบออกทันที แต่ในกรณีที่มองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอม ไม่ควรเอามือล้วงช่องปาก หรือคอเด็กโดยเด็ดขาด และควรนำเด็กไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ทำการรักษาโดยทันทีระดับที่สอง - หากเด็กมีอาการรุนแรง ไม่สามารถพูดหรือส่งเสียงได้ สีหน้ามีสีเขียวหรือซีด สามารถทำท่า '5 back slaps and 5 chest thrusts’ ควรจับเด็กนอนคว่ำบนตักและตบแรง ๆ บริเวณทรวงอกด้านหลังระหว่างกระดูกสะบักประมาณ 5 ครั้ง แล้วจับเด็กนอนหงายแล้วกดบริเวณหน้าอกอีก 5 ครั้ง ทำสลับกันไป จนสิ่งแปลกปลอมกระเด็นหลุดออกมา และไม่ควรจับเด็กห้อยศีรษะ ตบหลังเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เศษอาหารหรือสิ่งของยิ่งลงลึกและอุดกั้นทางเดินหายใจมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กขาดอากาศหายใจ และเสียชีวิตได้ แต่หากทำวิธีดังกล่าวแล้วสิ่งแปลกปลอมไม่หลุดออกมาให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล เพื่อนำสิ่งที่อุดตันออกมาโดยเร็วที่สุด และหากเด็กหยุดหายใจ ชีพจรหยุดเต้นระหว่างการนำตัวส่งโรงพยาบาล ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการทำ CPR ตามขั้นตอนที่กำหนด และรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลในทันที
เพราะฉะนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองจึงต้องหมั่นสอดส่องดูแล จัดเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบ ห่างไกลจากเด็ก หลีกเลี่ยงการให้เด็กเล่นสิ่งของที่มีชิ้นส่วนขนาดเล็กหรือแตกหักง่าย และฝึกสอนไม่ให้นำของเข้าปาก เพราะนอกจากจะได้รับอันตรายจากการอุดตันทางเดินหายใจและทางเดินอาหารแล้ว ยังจะได้รับอันตรายจากสารเคมีได้อีกด้วย
หากต้องการให้เด็กรับประทานผลไม้ประเภทที่มีเมล็ด ควรเอาเมล็ดออก พร้อมตัดแบ่งเป็นขนาดพอคำที่เด็กจะสามารถเคี้ยวได้ เนื่องจากเมล็ดของผลไม้มีความลื่นและสามารถหลุดเข้าหลอดลมได้โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ฟันยังขึ้นไม่ครบ ควรบดอาหารให้ละเอียด พร้อมปลูกฝังเด็กๆ เรื่องการนั่งโต๊ะรับประทานอาหาร และระหว่างรับประทานอาหารให้เด็กเคี้ยวอาหารช้าๆ และละเอียดก่อนกลืน
เหตุการณ์ดังกล่าวอาจดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่การเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์สำหรับบุตรหลาน เป็นสิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครองไม่ควรประมาท เพื่อป้องกันอุบัติเหตุไม่ให้เกิดขึ้น การจัดเก็บสิ่งของต่าง ๆ ในบ้านให้เรียบร้อยอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ รวมถึงเลือกของเล่นให้เหมาะสมตามช่วงอายุเด็กเพื่อลดโอกาสการเกิดเหตุไม่คาดคิด พร้อมพิถีพิถันใส่ใจอาหารการกินของเด็ก ๆ ด้วยความระมัดระวัง และสิ่งสุดท้ายที่สำคัญและจำเป็นคือ การมี “สติ” เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ทำให้เด็กตื่นตระหนก และหวาดกลัวไปด้วย