นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ TFEX ในปี 2552 นั้นเป็นที่น่าพอใจ แม้จะเป็นปีที่ผู้ลงทุนมีความกังวลอย่างมากจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยมีการเติบโตทั้งในด้านปริมาณการซื้อขายและจำนวนผู้ลงทุน ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มสินค้าโกลด์ฟิวเจอร์ส (Gold Futures) หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับทองคำ การรับผู้ค้าทองเป็นสมาชิกใหม่ รวมถึงการจัดโครงการส่งเสริมการซื้อขาย การทำการตลาดและการให้ความรู้แก่ผู้เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการซื้อขายใน TFEX ในปี 2552 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,334,318 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 5,589 ล้านบาทต่อวัน ในเชิงปริมาณการซื้อขายนั้น TFEX มีปริมาณการซื้อขายรวมทั้งหมด 3.075 ล้านสัญญา หรือเฉลี่ย 12,771 สัญญาต่อวัน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 44 จากปลายปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 8,837 สัญญาต่อวัน โดยเป็นการซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตประมาณร้อยละ 21 สำหรับสินค้าที่มีการซื้อขายมากที่สุด คือ สัญญาล่วงหน้าที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 (SET50 Index Futures) ซึ่งมีการซื้อขายคิดเป็นร้อยละ 84 ของปริมาณการซื้อขายรวม ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2552 ตลาดอนุพันธ์มีสถานะคงค้างรวม 28,281 สัญญา และมีจำนวนบัญชีซื้อขายอนุพันธ์รวมทั้งสิ้น 29,647 บัญชี เพิ่มขึ้นร้อยละ 86.5 จากสิ้นปี 2551
ในปี 2552 ที่ผ่านมา TFEX ได้จัดให้มีการซื้อขายสินค้าใหม่ 2 ประเภท ได้แก่ Gold Futures ซึ่งเริ่มซื้อขายในเดือนกุมภาพันธ์ และเพิ่มจำนวนหุ้นอ้างอิงของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับหุ้นสามัญรายตัว (Stock Futures) อีก 11 ตัว ในเดือนมิถุนายน โดยสินค้าทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี สำหรับ Gold Futures มีปริมาณการซื้อขายโดยเฉลี่ยทั้งปี 1,397 สัญญาต่อวัน หรือประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณการซื้อขายรวมของทั้งตลาด TFEX ส่วน Stock Futures มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 600 สัญญาต่อวันเพิ่มจากปีก่อนหน้าถึง 3 เท่า นอกจากนี้ TFEX ยังได้รับสมาชิกผู้ค้าทองจำนวน 5 ราย เพื่อเป็นการสนับสนุนการซื้อขาย Gold Futures ให้ผู้ลงทุนมีช่องทางการซื้อขายครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
โบรกเกอร์อนุพันธ์ที่มีปริมาณการซื้อขายในปี 2552 สูงสุด 5 ลำดับแรก มีปริมาณการซื้อขายรวมกันถึง ร้อยละ 43.05 ของปริมาณการซื้อขายรวมทั้งหมด ได้แก่ บมจ. หลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ร้อยละ 10.75 บมจ. หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) ร้อยละ 9.8 บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) ร้อยละ 7.78 บล. ทรีนีตี้ ร้อยละ 7.46 และ บล. โกลเบล็ก ร้อยละ7.26 ตามลำดับ
สำหรับในปี 2553 นี้ ตลาดอนุพันธ์จะให้ความสำคัญกับการเพิ่มสภาพคล่องของสินค้า โดยจะมีการจัดโครงการส่งเสริมการซื้อขายตลอดปี การผลักดันให้มีการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศสามารถเข้ามาซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ได้โดยสะดวก การจัดให้มีการซื้อขาย Interest Rate Futures เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันที่ถือครองตราสารหนี้ รวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดให้มีการซื้อขายสินค้าใหม่ที่อ้างอิงกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน เป็นต้น
“TFEX เชื่อว่าการส่งเสริมสภาพคล่องในสินค้าเดิมและการจัดให้มีสินค้าใหม่เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของตลาดอนุพันธ์ คาดว่าในปี 2553 นี้ปริมาณการซื้อขายใน TFEX น่าจะเติบโตได้อีกร้อยละ 15-20โดยตั้งเป้าว่าจะมีปริมาณการซื้อขายรวมประมาณ 15,000 สัญญาต่อวัน” นางเกศรากล่าวเสริม