นายอิสสระ กล่าวต่อว่า กระทรวงฯ ไม่ได้มีเจตนาในการเข้าไปขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากต่างก็มีเป้าหมายในการดูแลสังคมร่วมกัน การออกมาแสดงความคิดเห็นนี้ จึงเป็นเพียงการให้ข้อคิดและคำแนะนำ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการทำงาน โดยจากที่ได้ฟังคำชี้แจงถึงมาตรการที่ชัดเจนในวันนี้ ว่าเป็นเพียงการคุมเข้ม ๔ สถานประกอบการ ก็รู้สึกชื่นชมถึงความตั้งใจจริงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และขอให้มีการดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกวดขันสถานประกอบการต่างๆ ที่ลักลอบให้บริการแก่เด็กและเยาวชน ซึ่งต้องจัดการอย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา และในกรณีข้อกังวลใจต่างๆนั้น กระทรวงฯ จะให้ศูนย์ประชาบดีดำเนินการ ให้คำแนะนำ โดยหากเด็กยังไม่มีผู้ปกครองมารับ ก็พร้อมจะรับตัวมาไว้ที่บ้านพักเด็กและครอบครัว จนกว่าผู้ปกครองจะมารับ จึงไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัย ทั้งนี้ จะขอความร่วมมือไปยังคณะกรรมการคุ้มครองเด็กฯ ทุกจังหวัด เพื่อให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการดูแลแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม
ด้านพล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า การออกมาตรการนี้ ไม่ใช่เป็นการเคอร์ฟิวเด็ก เพียงแต่เข้าไปดูแลกวดขันไม่ให้เด็กไปอยู่ตามสถานบริการต่างๆ ในยามวิกาล ซึ่งเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมและเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาอาชญากรรม โดยเมื่อพบเห็นก็จะติดต่อผู้ปกครองให้มารับกลับบ้าน ทั้งนี้ ยอมรับว่ายังบกพร่องในการประชาสัมพันธ์ถึงมาตรการและวิธีดำเนินงาน จึงทำให้หลายฝ่ายเกิดความเข้าใจผิด โดยน้อมรับคำแนะนำต่างๆ เพื่อนำไปปรับปรุงเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานต่อไป
พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องเด็ก สตรี เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยการทำงานของสหวิชาชีพต่างๆ มาร่วมกันดูแลแก้ไขปัญหา โดยหลังจากมาตรการนี้ออกไป พบว่า สถิติเด็กที่เข้าไปใช้สถานบริการลดลงมาก ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะดำเนินการต่อไปให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ.