- ใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น
- พัฒนาแผนรอยเท้าพลังงาน (Climate Footprint) และเลิกใช้ถ่านหินภายในปี 2564
- ชี้แจงที่มาของพลังงานในการดำเนินการของบริษัทให้แก่ผู้ใช้เฟสบุ๊ค
- สนับสนุนพลังงานหมุนเวียนทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับระหว่างประเทศ
“มีผู้คนนับล้านใช้เฟสบุ๊คหลายล้านคนต่อวัน แต่น่าเสียดายที่เฟสบุ๊คยังคงพึ่งพาพลังงานสกปรกจากศตวรรษที่ 19 อย่างถ่านหิน มาดำเนินการเทคโนโลยีสมัยศตวรรษที่ 21” เคซี ฮาเรล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงาน กรีนพีซกล่าว “คนทั่วโลกได้เรียกร้องให้บริษัทที่พวกเขาชื่นชอบเป็นผู้นำด้านการปฏิวัติพลังงาน แล้วมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กจะยอมทำตามข้อเรียกร้องนั่นหรือไม่”
การรณรงค์กรีนเฟสบุ๊คนี้ได้ขยายไปในหลายประเทศ ทั้งฝรั่งเศส อินโดนีเซีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ และตุรกี กลุ่มนักเรียนในสหรัฐอเมริกายังได้ร่วมกระจายเรื่องราวนี้ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และบอกเล่าให้เพื่อนร่วมชั้นทราบถึงรอยเท้าคาร์บอนของเฟสบุ๊คที่ขยายใหญ่ขึ้น เร็วๆนี้ กลุ่มนักเรียนจะร่วมรณรงค์ส่งข้อความถึงเจ้าหน้าที่ของเฟสบุ๊คว่าพวกเขาอยากให้ชีวิตบนโลกอินเทอร์เน็ตของพวกเขาเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเสียที (4)
“วิสัยทัศน์ของเฟสบุ๊คต่อแนวทางธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตบนสังคมออนไลน์” ฮาเรลกล่าว “เฟสบุ๊คมีโอกาสที่จะเป็นผู้นำโดยการขยายศักยภาพความเป็นผู้นำทางนวัตกรรมไปสู่ด้านสิ่งแวดล้อม และแสดงให้เห็นว่าธุรกิจนี้สามารถเติบโตไปด้วยพลังงานที่สะอาด เหมือนที่ Pepsico และ Proctor and Gamble ได้ให้คำมั่นว่าจะลงมือทำ”
บริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มการใช้ไฟฟ้าอย่างรวดเร็วและถือเป็นหนึ่งในภาคที่มีการขยายตัวของความต้องการใช้ไฟฟ้ามากที่สุด ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตและใช้ป้อนอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียวจัดอยู่ในอันดับที่ 5 เมื่อพิจารณาจากการใช้พลังงานของโลก (5)
ในปี 2553 เฟสบุ๊คได้เพิ่มการใช้พลังงานถ่านหิน ไปกับการสร้างศูนย์ข้อมูล 2 แห่ง ในรัฐโอเรกอนและนอร์ธ คาโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้ง 2 แห่งใช้พลังงานจำนวนมหาศาลจากถ่านหิน (6)
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.greenpeace.or.th/face book-unfriendcoal