มร. สาทิช เลเล นักวิเคราะห์จาก บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน องค์กรให้คำปรึกษาและวิจัยระดับโลกกล่าวว่า “การระเบิดของโรงงานนิวเคลียร์ทำให้เกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสีในบรรยากาศ และสิ่งเหล่านี้เองจะปนเปื้อนไปตามสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พืชผัก ผลไม้ ที่ดิน และแหล่งน้ำ ซึ่งสามารถติดต่อกับมนุษย์ได้ หากได้มีการบริโภคสิ่งเหล่านี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างการบริโภคนมและเนื้อสัตว์ที่ได้บริโภคสิ่งปนเปื้อนเข้าไป”
แม้ว่า ระดับของสารกัมมันตภาพรังสีก่อให้เกิดความหวาดวิตก แต่ก็ได้รับรายงานว่ายังอยู่ในระยะเพียง 20 กิโลเมตรจากรัศมีของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวได้รับการระบายอย่างสมบูรณ์ และในฟาร์มต่างๆในรัศมีดังกล่าวไม่น่าที่จะส่งผลิตผลของตนเข้าสู่ตลาดได้เนื่องจากมีมีการควบคุมอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าจับตามองว่าหากเหตุการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้ รัฐบาลญี่ปุ่นจะมีนำมาตรการใดเข้ามารองรับบ้าง
“ก่อนหน้านี้ได้มีรายงานบ่งชี้ถึงระดับของไอโอดีนและซีเซียมในบริเวณที่ใกล้เคียงกับโรงไฟฟ้าดังกล่าว โดย สารไอโอดีนดังกล่าวสามารถดำรงอยู่ได้เพียงระยะเวลาอันสั้น ดังนั้น ผลกระทบของมันจึงค่อนข้างมีจำกัด แต่กระนั้นก็ตาม สารซีเซียมก็ยังสามารถอยู่ได้นานถึง 30 ปี ซึ่งหมายความว่า พื้นที่ 20 กม. ภายใต้รัศมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จะไม่สามารถใช้งานใดๆได้เลยตลอดระยะเวลาดังกล่าว” มร.สาทิชกล่าวเพิ่มเติม
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จากฟรอสต์แอนด์ซัลลิแวนยังได้แสดงความเห็นถึงผลกระทบระยะยาวว่า ญี่ปุ่นควรจะมีระบบการจัดการผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัยภิบัตินี้อย่างระมัดระวัง ทั้งในเรื่องของวิธีการผลิตพลังงานอย่างปลอดภัยในอนาคต รวมไปถึงการจัดการด้านผลกระทบของรังสีที่ออกมาในชั้นบรรยากาศ เนื่องจากการรับรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับความปลอดภัยต่างๆ นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก อย่างน้อยที่สุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ยอดขายลดลงในระยะสั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในระยะยาวต่อผลิตภัณฑ์อาหารที่นำเข้าจากญี่ปุ่นก็เป็นได้
?
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02 630 1734 Frost & Sullivan