กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รับพระกรุณาธิคุณจาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เสด็จมาเป็นองค์ประธานเปิด “งานเล่านิทาน อ่าน และเล่นกับลูก ประจำปี 2554” เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา ณ แจ้งวัฒนะฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ที่จัดขึ้นเพื่อสืบสานพระปณิธานภายใต้ “โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว” และเพื่อต่อยอดขยายผลองค์ความรู้การดูแลและสร้างเสริมพัฒนาการเด็กไทยวัยแรกเกิดถึง 9 ปีจากทั่วทุกภาคของประเทศ ไปสู่นวัตกรรมการเสริมสร้างพัฒนาการและศักยภาพของเด็กไทย
โดยภายในงานได้มี นิทรรศการภาพ “เจ้าชายน้อยในวัย 7 พรรษา” จัดแสดงพระรูปพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ในวัย 7 พรรษา พร้อมนำเสนอผลงาน “30 สุดยอดนวัตกรรมเล่านิทาน อ่าน และเล่นกับลูก” จาก “วิทยากรกระบวนการสานสายใยรัก” ที่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อถ่ายทอดความรู้ในการดูแลและเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กไทยในวัยแรกเกิดถึง 6 ปีไปสู่พ่อแม่และผู้ปกครองในพื้นที่ดำเนินงาน 30 จังหวัด และยังได้จัดแสดง “ 40 สุดยอดสิ่งประดิษฐ์ของเล่นลอยน้ำ" ที่ได้รับการคัดเลือกจากการประกวดจากกิจกรรม “วัยซนค้นโลก” ที่มุ่งเน้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ผ่านกระบวนการสร้างเสริม “ศักยภาพการเรียนรู้ตามธรรมชาติ 8 ส.”
นายปกรณ์ พันธุ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กล่าวถึงผลการดำเนินงานโครงการเล่านิทาน อ่าน และเล่นกับลูกในปี 2554 ว่า กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้ขยายพื้นที่การดำเนินงานเพิ่มขึ้นอีก 11 จังหวัด และมีวิทยากรกระบวนการเพิ่มขึ้นจำนวน 156 คน รวมพื้นที่ดำเนินงาน ทั้งหมด 30 จังหวัด และมีวิทยากรกระบวนการรวมทั้งสิ้น 1,115 คน และได้ขยายผลถึงกว่า 20,000 ครอบครัว และในปีนี้ยังได้จัดให้มีกิจกรรมวัยซนค้นโลกเพิ่มขึ้น เพื่อให้เด็กวัย 7-9 ปีได้ใช้กระบวนการเรียนรู้ 8 ส. มาประดิษฐ์ของเล่นลอยน้ำ โดยเปิดโอกาสให้ครูและผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับการศึกษาของเด็กได้มาฝึกอบรมและนำกระบวนการกระตุ้นศักยภาพการเรียนรู้ของเด็กๆ ไปใช้กับการประดิษฐ์และต่อยอดในไปใช้ในชีวิตประจำวัน
“ซึ่งทั้งหมดนี้ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มุ่งหวังที่จะสร้างวัฒนธรรมการเลี้ยงลูกด้วยการเล่านิทาน อ่าน และเล่นกับลูก ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย จึงได้จัดงานเล่านิทาน อ่านและเล่นกับลูก อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และพยายามขยายผลไปสู่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลและพัฒนาเด็กให้ตระหนักและเห็นความสำคัญของการพัฒนาเด็กร่วมกัน รวมทั้งช่วยกันสรรค์สร้างนวัตกรรมการเสริมสร้างพัฒนาการและศักยภาพของเด็กไทยรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้ทันยุคทันสมัยมากขึ้น” นายปกรณ์ พันธุ กล่าวสรุป.